“ดร.พิสิฐ” จี้ถาม“เอสเอ็มอีแบงก์” หวังให้มีแนวทางช่วยธุรกิจย่อยฝ่าวิกฤติโควิด

“ดร.พิสิฐ” จี้ถาม“เอสเอ็มอีแบงก์” หวังให้มีแนวทางช่วยธุรกิจย่อยฝ่าวิกฤติโควิด

ดร.พิสิฐ” จี้ถาม“เอสเอ็มอีแบงก์”

หวังให้มีแนวทางช่วยธุรกิจย่อยฝ่าวิกฤติโควิด

                ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในวาระรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ว่า ประเทศไทยเราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติโควิดมาเป็นเวลาร่วม 2 ปี ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจพอกพูนมากขึ้น โดยภาครัฐได้พยายามใช้เงินงบประมาณโดยมีการก่อหนี้ ขณะที่รายได้ที่ได้รับก็ตกต่ำ โดยปีที่ผ่านมารายได้หายไปกว่า 3 แสนล้านบาท หนี้รัฐบาลต่อจีดีพี เมื่อตอนสิ้นปีก็ทะลุ 60% ของจีดีพี นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน และต้องพยายามหามาตรการดูแลภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในกรณีภาคธุรกิจ ก็เชื่อว่านอกเหนือจากประชาชนที่ได้รับความลำบาก มีหนี้สิน มีหนี้ครัวเรือนมากขึ้น ยังมีภาคธุรกิจที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ SME หรือธุรกิจรายเล็กต่างๆ ที่ทำธุรกิจกระจัดกระจายทั่วประเทศ และเป็นแหล่งจ้างงาน แหล่งอาชีพ แหล่งรายได้ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย

                ดร.พิสิฐ มองว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพนี้ จำเป็นจะต้องมีมาตรการรองรับทั้งในส่วนเฉพาะหน้า และในส่วนที่จะเป็นการฟื้นฟูในโอกาสต่อไปเมื่อพ้นสถานการณ์โควิดแล้ว โดยต้องยอมรับว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ SME โดยการออก พ.ร.ก.เงินกู้ซอฟต์โลน 5 แสนล้านบาท และมีการออก พ.ร.ก. ช่วยเสริมสภาพคล่องหุ้นกู้ แต่มาตรการการเงินเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดผลสำเร็จเท่าที่ควร การให้กู้ซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยกู้ แต่ปรากฏว่าจำนวน 5 แสนล้านที่ได้ตั้งไว้นั้น ใช้ไปได้เพียง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น หรือในส่วนที่เป็นหุ้นกู้ก็แทบไม่ได้ใช้ ทำให้ผลที่เกิดขึ้นก็คือภาคธุรกิจ SME เหล่านี้ถูกทอดทิ้ง เพราะสถานการณ์โควิดนั้นมีความเสี่ยง และไม่มีความแน่นอนว่าจะจบหรือไม่จบเมื่อไหร่อย่างไร สถาบันการเงินไม่มีความประสงค์จะเสี่ยงในการให้กู้

                สำหรับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) นั้นก็เป็นองค์กรหนึ่งที่รัฐตั้งขึ้นมาหลายสิบปี และในสถานการณ์วิกฤติแต่ละครั้ง ตนก็มองว่าหน่วยงานนี้ก็ควรจะต้องมีบทบาทให้เต็มที่ แต่ในวิกฤติเช่นในปี 40 นั้น ตนในฐานะ รมช. กระทรวงคลัง จึงได้เชิญผู้บริหาร SME Bank ที่ในช่วงนั้นยังเป็น บอย. เพื่อมาสอบถามและขอความช่วยเหลือ ซึ่งในขณะนั้นมีทุนเพียง 500 ล้านบาท  ซึ่งเล็กเกินไปไม่อาจมาช่วยทำงานได้ จึงทำให้ถูกมองข้ามไป ในเวลานี้เป็นวิกฤติโควิด และ SME Bank มีการเพิ่มทุนถึง20,000 ล้านบาท ก็ยังมีคำถามที่ยังมีคำถามว่า SME Bank จะมีบทบาท หรือมีโอกาสช่วย SME ในประเทศไทย ให้แข็งแรงได้อย่างไรหรือไม่ ธุรกิจรายใหญ่มีความแข็งแรง อาจจะช่วยตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่รายเล็กรายน้อยต่างๆเหล่านี้ มีหลาย Sector เช่นด้านการท่องเที่ยวที่ประสบผลประกอบการเสียหาย มีคำถามว่า SME Bank จะมีบทบาทช่วยคัดคานอำนาจธนาคารพาณิชย์ได้หรือไม่

                ทั้งนี้ ดร.พิสิฐ ได้เสนอให้ SME Bank จัดทำรายงานประจำปีในปีต่อๆ ไป โดยให้โฟกัสไปในเรื่องที่จะสามารถสนองตอบต่อสถานการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย เพราะจากการดูรายงานฉบับนี้พบว่า ยังมีรูปแบบอย่างที่เคยเป็นมาเหมือนไม่อยู่ในภาวะวิกฤต ขอให้นึกภาพเมื่อเวลาผ่านไป 10-20 ปี หากมีคนสนใจย้อนไปดูการดำเนินการของ SME Bank ในช่วงวิกฤติโควิด ท่านทำอะไรบ้าง ก็จะพบว่าเราจะไม่ได้พบอะไรในรายงานฉบับนี้ ซึ่งเป็นรายงานปี 63 ปีที่โรคระบาดรุนแรง และมีการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวม ปี 64 ที่ดีกว่าที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เกิดคำถามต่อนโยบายของ SME Bank ว่าจะมีการปรับปรุงรายงานฉบับนี้อย่างไร พร้อมกับตั้งคำถามต่อแนวทางการดำเนินงานของ SME Bank ในปี 65 ว่า จะดูแลธุรกิจขนาดเล็กขนาดย่อมอย่างไร และจะเพิ่มบทบาทให้องค์กรนี้ทำงานให้มากขึ้นได้อย่างไร

                ทุนของท่านมีเพียง 20,000 ล้าน ปล่อยกู้ประมาณ 1 แสนล้าน มีการกู้เงินมา 3 หมื่นล้าน มีการรับฝากเงิน 5 หมื่น ตัวเลขของท่านโชว์ว่าเงินรับฝากลดลง แล้วจะมีหนทางในการเพิ่มทุนหรือรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือกระทรวงการคลังอย่างไร ที่จะทำให้บทบาทของ SME Bank ได้ช่วย SME ในประเทศได้มากกว่านี้” ดร.พิสิฐ กล่าว

 

 

You may also like

“รชค.มนพร”เปิดท่าเทียบเรือวุฒากาศ ชูก้าวใหม่การเดินทาง สะดวก รวดเร็ว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

“รชค.มนพ