ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพ มี.ค.61 ลดลง
ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/2561 (ม.ค.-มี.ค.) ยังได้รับแรงสนับสนุนหลักมาจากภาคต่างประเทศ ทั้งในด้านการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงให้ภาพที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงไตรมาสที่ 4/2560 มากนัก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ผลในระยะยาวเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมี.ค. 2561 ที่ผ่านมา ภาพเศรษฐกิจไทยผูกติดกับภาพเศรษฐกิจโลกมากยิ่งขึ้น หลังสถานการณ์การค้าโลกทวีความซับซ้อนจากการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าจะนำไปสู่สงครามการค้าโลก และอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกสินค้าเป็นสำคัญ ทำให้ครัวเรือนมีความกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพ สะท้อนจากดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือน (KR-ECI) ในเดือนมี.ค. 2561 ที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 45.6 จากระดับ 46.3 ในเดือนก.พ. 2561 ซึ่งนอกจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่กระทบมุมมองของครัวเรือนในภาพรวมแล้ว ครัวเรือนยังมีความกังวลต่อประเด็นเรื่องค่าใช้จ่าย (ไม่รวมภาระหนี้สิน) ที่เพิ่มขึ้นจากการมีรายจ่ายพิเศษอย่างการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากบุตรหลานปิดภาคเรียนประกอบกับกระแสอนุรักษ์ความเป็นไทย ตลอดจนครัวเรือนบางส่วนมีการวางแผนท่องเที่ยวล่วงหน้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้มีการใช้จ่ายไปแล้วบางส่วนในการจองที่พัก จองตั๋วเครื่องบิน หรือซื้อโปรแกรมทัวร์
นอกจากนี้ ครัวเรือนยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นต่อสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการภายในประเทศ โดยเฉพาะราคาพลังงานที่แม้โดยเฉลี่ยจะค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก.พ. 2561แต่ด้วยความถี่ของการปรับขึ้นราคาในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค. 2561 จำนวน 3 ครั้ง จึงทำให้ครัวเรือนสะท้อนมุมมองที่เป็นกังวลมากขึ้นต่อระดับราคาพลังงานในประเทศ
ดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือน (KR Household Economic Condition Index หรือ KR-ECI) จัดทำขึ้นโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เพื่อให้เป็นเครื่องชี้ที่สะท้อนความรู้สึกของครัวเรือนที่มีต่อภาวะการครองชีพทั้งในปัจจุบัน และในช่วง 3 เดือนข้างหน้า โดยค่าดัชนีที่สูงกว่าระดับ 50 หมายถึง ครัวเรือนส่วนใหญ่มองว่า ภาวะการครองชีพ “ดีขึ้น” ในทางตรงกันข้าม ค่าดัชนีที่ต่ำกว่าระดับ 50 หมายถึงภาวะการครองชีพ “แย่ลง”
อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือนต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพในปัจจุบันยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อมุมมองของครัวเรือนในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เดือนเม.ย.-มิ.ย. 2561) สะท้อนจากดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ที่ในเดือนมี.ค. 2561 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 46.3 จากระดับ 47.1 ในเดือนก.พ. 2561 นอกจากนี้ ครัวเรือนยังคาดว่า จะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย สังสรรค์ ท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้ปกครองในการซื้ออุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนให้บุตรหลานก่อนเปิดปีการศึกษาใหม่ ซึ่งเมื่อทำการสำรวจเพิ่มเติม พบว่า ประเด็นเศรษฐกิจที่ครัวเรือนในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดส่วนใหญ่กังวลว่าจะต้องเผชิญในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 (เม.ย.-มิ.ย.) ยังเป็นในเรื่องของภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากระดับราคาสินค้าและบริการที่ครัวเรือนมองว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการสำรวจภาวะการครองชีพของครัวเรือนในเดือนมี.ค. 2561 จะเห็นว่า ครัวเรือนบางส่วนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวทั้งในปัจจุบันและในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว การใช้จ่ายเหล่านี้ของครัวเรือนจะหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และส่งผลบวกต่อจีดีพีในระยะถัดไป
โดยสรุป ดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนในเดือนมี.ค. 2561 และในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงจากประเด็นร่วมเรื่องค่าใช้จ่าย (ไม่รวมหนี้สิน) เป็นสำคัญ โดยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยวที่เป็นไปตามเทศกาลและกระแสนิยม ซึ่งการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวของครัวเรือนคาดว่าจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะถัดไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังมีหลายประเด็นที่ยังต้องติดตามในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 ไม่ว่าจะเป็น
สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการภายในประเทศหลังมีการบังคับใช้ค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นมา
ราคาสินค้าเกษตรหลายรายการสำคัญที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่น อ้อยโรงงาน ปาล์มน้ำมัน ยางพารา สุกรมีชีวิต กุ้งแวนนาไม ฯลฯ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยกดดันรายได้ครัวเรือนเกษตร
ทิศทางการค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนราว 1,300 รายการ มูลค่าการนำเข้าราว 50,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งจะมีการทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 15 พ.ค. 2561 และมีการประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม โดยมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งในเบื้องต้นประเมินว่า ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยคงมีจำกัดผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิตในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในจีน แต่ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
Social Links