ดันสินค้า GI ไทย ต้องทำเป็นระบบ
แนวคิดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา จับมือกับเซ็นทรัลฟู้ดรีเทล สนับสนุน “สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หรือ GI สร้างช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคมาเจอกัน ผ่านโครงการที่ชื่อว่า GI Corner ในเครือเซ็นทรัลฯ อาทิ เซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์, ท็อปส์มาร์เก็ตและท็อปส์ซูเปอร์สโตร์ ซึ่งเปิดตัวไปแล้วเกือบ 80 สาขาทั่วประเทศในปีนี้ถือเป็นเรื่องดี และน่าจะสนับสนุนอย่างยิ่ง
แนวคิดที่ว่า ก็คือ…การคัดสรรสินค้า GI ไทยที่มีเอกลักษณ์พิเศษ คุณภาพดีจากแหล่งผลิต โดยที่ผ่านมาถือว่าประสบผลสำเร็จด้วยดี หลายตัวเป็นที่รู้จักและนิยมของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น…มะขามหวานเพชรบูรณ์ ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง สับปะรดตราดสีทอง และมีสินค้าเข้าใหม่ ได้แก่ ส้มสีทองน่าน จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกส้มเขียวหวานสีทอง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน
ล่าสุด พวกเขาเตรียมต่อยอดโครงการในห้วงเทศกาลแห่งความสุข “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561” ด้วยการจัด “กระเช้าสินค้า GI” เพื่อให้คนไทยได้นำไปเป็นของขวัญของฝาก กำหนดไว้ 3 แบบ 3 ราคา เริ่ม 1,690 บาท 1,790 บาท และ 1,900 บาท
นอกจากนี้ ยังมีแผนร่วมกันสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วยการสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตสินค้า GI ที่ดีมีคุณภาพต่อไปและรับซื้อสินค้าที่ได้ผ่านมาตรฐาน GI จนได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยแล้วอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเปิดโอกาสให้เกษตรกรให้มีความสามารถในการทำตลาดโมเดิร์นเทรด ด้วยการเริ่มโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้ว 16 ราย
สินค้าที่ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์แล้วจะได้รับการพิจารณาคัดเลือกสินค้ามาวางจำหน่ายเครือเซ็นทรัลฯ โดยในปีหน้า คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการนี้เพิ่มอีก 10 ราย ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อชุดของขวัญปีใหม่ GI เพิ่มได้ที่เซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์และท็อปส์มาร์เก็ต ทุกสาขาทั่วไทย หรือสั่งออนไลน์ผ่าน Tops Online
“ทีมข่าวเศรษฐกิจ” อยากเห็นกรมทรัพย์สินทางปัญหา สร้างพันธมิตรในลักษณะเดียวกับเครือเซ็นทรัลฯ ให้มากยิ่งขึ้น เพราะการผูกขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับเอกชนเพียงรายเดียว อาจเปิดช่องให้คู่แข่งธุรกิจของเครือเซ็นทรัลฯ โจมตีเอาได้ว่า…ภาครัฐเอื้อประโยชน์ธุรกิจให้กับเอกชนหลายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพไม่ต่างจากเครือเซ็นทรัลฯ ไม่ว่าจะเป็น…เครือซีพี เครือช้าง (บิ๊กซี) เทสโก้โลตัส ฯลฯ
หากบูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชนได้หลากหลายและขยายผลได้กว้างขวางขึ้น เพิ่มทั้งจำนวนสาขาของช่องทางการจัดจำหน่าย และเพิ่มทั้งเกษตรผู้ผลิตสินค้า GI เชื่อว่าสิ่งนี้…ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร, ผู้บริโภค, ร้านค้าที่จำหน่าย หากยังทำให้ภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานจัดเก็บภาษี มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ สามารถจะนำสินค้า GI ของไทยไปป่าวประกาศให้คนทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยปีละราว 35 ล้านคนได้รับรู้ทั่วกัน
ขอที! อย่าได้คิดสร้างปรากฏการณ์ “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” ในภาวะผู้คนทุกภาคส่วนของบ้านเมืองไทย จำต้องหันหน้าเข้าหากันเช่นนี้
“ทีมข่าวเศรษฐกิจ”
สำนักข่าว ThaiBCCnews
Social Links