นายกฯยิ้ม! ส่งออกพุ่งกระฉูด

นายกฯยิ้ม! ส่งออกพุ่งกระฉูด

เป็นอีกครั้งที่สังคมไทยได้เห็นรอยยิ้มของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. หลังจากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจตัวหลักที่สำคัญ อย่างภาคการส่งออกช่วง 9 เดือนแรกของไทย พุ่งทะยานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ เป็นการยืนยันจาก “โฆษกรัฐบาล” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้สึกพอใจในภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น พร้อมยืนยันว่าขั้นตอนทุกอย่างจะเป็นไปตามโรดแมปเดิม

“เศรษฐกิจขยายตัว เป็นเพราะประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้ว การประกาศให้มีการเลือกตั้งช่วงปลายปีหน้า เป็นแค่เพียงข่าวดีส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญนักลงทุนเองมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ขอเพียงทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันก็พอ” พล.ท.สรรเสริญ ระบุ พร้อมกับย้ำว่า นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจในทุกมิติ ทั้งการใช้จ่ายและกำลังซื้อภายในประเทศ การลงทุนของรัฐ เอกชน และต่างประเทศ รวมทั้งการส่งออกสินค้า

โดยรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยที่มีไปถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนว่าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 86.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 85.0 ในเดือน ส.ค. และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 6 เดือน สอดคล้องกับปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ปูนซีเมนต์ และการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วงปลายปีนี้ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

โฆษกรัฐบาล ย้ำว่า การส่งออกของไทยช่วง ก.ย.60 มีมูลค่าถึง 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 12.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ทั้งนี้ การส่งออกข้าวตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา มากถึง 8.97 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 25.28% คาดว่าสิ้นปีนี้อาจส่งออกข้าวได้สูงสุดใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 11 ล้านตัน

“ขณะนี้การลงทุนและการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว จำเป็นที่รัฐบาลต้องสนใจเรื่องปัญหาปากท้องและกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะคนในระดับฐานรากหรือผู้มีรายได้น้อย ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากและมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อย ครอบคลุมทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย การดำรงชีวิตประจำวัน การรักษาพยาบาล การเดินทาง การประกอบอาชีพ ฯลฯ” พล.ท.สรรเสริญ ระบุ พร้อมกับย้ำว่า

“รัฐบาลจะยังคงดำเนินการในเรื่องเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ต้องใช้เวลาสักระยะจึงจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจและร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนาตัวเอง ปรับเปลี่ยนวิธีคิด เพิ่มมูลค่าผลผลิต ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้น”