ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน การเมืองก็เปียกโชกด้วยฝน??
กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้สาธารณะชนได้รับทราบโดยทั่วกันแล้วว่า ประเทศได้เข้าสู่ฤดูฝนเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป เนื่องจากฝนได้ตกชุกอย่างต่อเนื่อง และจะสิ้นสุดฤดูฝนกลางเดือนตุลาคมนี้
การเมืองที่ได้เริ่มขยับความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ คสช.อนุญาตให้มีการขอยื่นจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่
แต่พรรคการเมืองเก่าที่มีอยู่แล้ว คสช.ยังไม่เปิดล็อกให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ทำให้พรรคการเมืองระดับเก๋ารู้สึกหงุดหงิดอารมณ์บ่จอย เฝ้ารอให้เมื่อไหร่คุณสมชาย (คสช.)จะไขกุญแจเปิดล็อกสักที
ด้วยเหตุฉะนี้ ความเคลื่อนไหวจึงตกมาอยู่ที่พรรคการเมืองใหม่ที่ กกต.อนุญาตให้จัดตั้งพรรคได้ตามระเบียบกติกา
สำหรับพรรคการเมืองใหม่ที่เปรี้ยงปร้างฮือฮาอยู่ในเวลานี้ ก็หนีไม่พ้น “พรรคอนาคตใหม่” เพราะหัวหน้าพรรคที่บอกตัวเองว่าเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ประกาศตัวท้าชิงเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ก่อนพรรคใด ๆ
แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ตามที่ประกาศหรือไม่ และก็ไม่รู้อีกว่าทั้งพรรคทั้งคนที่สมัคร ส.ส.จะโดนใจประชาชนให้เทคะแนนลงลงคะแนนกวาด ส.ส.เข้ามานั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากน้อยเท่าไหร่ คงต้องรอถึงวันเลือกตั้งแล้วจะรู้เอง!!
ที่แน่ ๆ ในขณะนี้ “พรรคอนาคตใหม่” โดนการเมืองซัดกระหน่ำแบบสายฝนจนเปียกชุ่มไปหมด เพราะถูกข้อหาว่าประกาศนโยบายพรรคไปก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ คสช.ยังไม่เปิดล็อก และมีคำเตือนจาก คสช.ว่าให้ระวังปาก??
อีกพรรคหนึ่งที่ประชาชนเฝ้าจับตาดูไม่กะพริบตา ก็คือ “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่า คำว่า“ประชารัฐ” เป็นนโยบายของ รัฐบาลคุณสมชาย (คสช.) พยายามสร้างผลคะแนนให้ประชาชนนิยมชมชอบ จึงไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกมากนักว่ายังไง ๆ ก็เป็นพรรคที่เชียร์ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สืบทอดนั่งเก้าอี้หลังเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562!!
ยิ่งมีกระแสข่าวปล่อยออกมาพรรคพลังประชารัฐ เดินเครื่องเต็มที่ในการ “ดูด” กลุ่มอดีต ส.ส. และอดีต ส.ส.ที่ดัง ๆ เป็นรายบุคคลเข้ามาซบกับพรรคให้มีกำลังมือเพียงพอในการชูให้ “บิ๊กตู่” ต่อท่ออำนาจต่อไป
แม้ว่าข่าวลือดังกล่าวยังเป็นเรื่องจริงครึ่งเรื่องเท็จครึ่ง แต่ผู้สันทัดกรณีข่าวลือระบุว่าข่าวปล่อยนี้เป็นข่าวจริง??
ส่วนพรรคที่กำลังมาแรงพร้อมกับฝนที่จะกระหน่ำอย่างแรงในช่วงฤดูฝนของที่นี่ประเทศไทย คือพรรคที่ กลุ่มสมาชิก กปปส. จำนวนหนึ่ง ได้ยื่นขอจดตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า “พรรครวมพลังประชาชาติไทย”
อาจมีหลาย ๆ คนสงสัยในหัวใจว่าทำไมชื่อพรรคที่ กปปส.ที่จะจัดตั้งขึ้นมานั้น ไม่ใช้ชื่อสั้น ๆ 3-4 พยางค์ให้จำง่าย ๆ แต่กลับใช้ชื่อยาวถึง 6-7 พยางค์ ก็มีผู้รู้เฉลยข้อข้องใจว่า อย่าได้กังขาอะไรเลย เพราะตัวย่อของ กปปส. ก็มีจากชื่อเต็ม ๆ ยาวเหยียดว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ดีนะที่ชื่อพรรคของ กปปส. ไม่เป็นชื่อที่ยืดยาวเต็ม ๆ แบบ กปปส. โดยใช้ชื่อยาวพอดี ๆ ว่า “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” โดยใช้ชื่อย่อพรรคว่า รปช.
มีเสียงแซว ๆ เข้ามาถึงรูหูว่า ชื่อย่อ รปช. นั้น ขอความกรุณาอย่าเรียกเพี้ยนเป็น “รปห.” จะกลายเป็นคำว่า “รัฐประหาร” เดี๋ยวจะมีคนตีความว่าเป็นพรรคที่เชียร์รัฐประหาร!?! (ฮา)
ประเด็นสำคัญก็คือคนเขารู้กันทั้งประเทศว่า กปปส. นั้นมี “ท่านเทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำเป่านกหวีด ที่เคยลั่นคำพูดว่า จะไม่เล่นการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่เป็นรัฐมนตรีหลังจากเลือกตั้งแล้ว
เมื่อ กปปส.ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ก็มีอีกฝ่ายก็โจมตีว่า “ท่านเทพเทือก” ผิดคำพูด??
ปรากฏว่าสมาชิก กปปส. ที่ร่วมจัดตั้งพรรคออกมาโต้แทนว่า “ท่านเทพเทือก” ไม่ได้ผิดคำพูด เพราะเจ้าตัวยังยืนยันว่าไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่ลงสมัคร ส.ส. ไม่เป็นรัฐมนตรี แต่ไม่ได้บอกว่าสมาชิก กปปส.บางส่วนจะไม่ตั้งพรรคการเมือง และก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง
เพราะฉะนั้นพรรครวมพลังประชาชาติไทย จึงมี “ท่านเทพเทือก” เป็นที่ปรึกษาใหญ่ด้วยประการฉะนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่า “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” จะเติบใหญ่โตแข็งแกร่งในอนาคตหรือไม่
ดังนั้น คำพูดทางการเมือง ย่อมดิ้นไปดิ้นมาได้ในทุกยุคทุกสมัยอย่างนี้แหละท่านที่เคารพ!!
เหมือนเช่นกับสถานการณ์บ้านเมืองจากคำพูดว่า “ขอโทษ” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่งส่งผลให้ประชาชนแบ่งแยกความคิดคนละมุมมอง
เนื่องจากคำว่า “ขอโทษ” ทำให้มีการขยายความไปที่กลุ่มก้อนก๊วนขั้วการเมืองเกิดความขัดแย้งปลุกระดมทางความคิดไม่ให้มีความสามัคคีปรองดองทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้??
และความคิดเห็นที่แตกแยกของคำว่า “ขอโทษ” นั้น ทำให้ทุกฝ่ายเปิดเผยตัวเองแบบ “ล่อนจ้อน”ค่อนข้างชัดเจน!!
ทว่าความขัดแย้งดังกล่าวนี้ คสช.ไม่คิดว่าไม่ผิดกฎหมายหรือคำสั่งของ คสช. ก็เลยไม่มีใครถูกตั้งข้อหาจากการตีความคำว่า “ขอโทษ”!!
ก็อยากขอบอกทุก ๆ ท่านที่เคารพนับถือว่าที่แต่ละฝ่ายที่ออกมาพูดเพราะจิตมีอคติลำเอียง จากลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะเกลียด ลำเอียงเพราะเป็นพวกของตัว ลำเอียงเพราะห่วงกองหนุนหดนั่นแล!!
เชื่อว่าในที่สุด “เวรกรรม” ก็จะสาดซัดเปรียบดังสายฝนให้ผู้ที่กระทำกรรมได้เปียกโชกกันทุกคน
ไม่ต้องรอรับ “กรรม” ถึงขาติหน้า ชาตินี้มีให้เห็นเป็นตัวอย่างมาเยอะแล้ว อมิตตพุทธ!!
นายจักรยาน
Social Links