ปรับ ครม.-ลาออก การเมืองเรื่องธรรมดา
สถานการณ์บ้านเมืองของเราในช่วงเวลานี้ หนีไม่พ้นที่จะต้องพูดกันแซ่ดแวดวงการเมืองในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี หรือที่เรียกกันย่อๆ ติดปากว่า ครม.
สาเหตุที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อนรักเพื่อร่วมรุ่นของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ลาออกทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างปุ๊บปั๊บจนเป็นข่าวใหญ่ข่าวดังทั่วฟ้าเมืองไทย
แถมการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ครั้งนี้เป็นการลาออกยกทีมของทีมงานที่ทำงานร่วมกับ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล มาตลอดแบบมาด้วยกันไปด้วยเลือดสุพรรณ จึงเป็นเรื่องราวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายในหลายแง่มุม ส่วนมุมไหนจะถูกต้องในข้อเท็จจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้ที่รู้ความจริงแท้มีเพียง 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “บิ๊กตู่” กับ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล “บิ๊กบี้” เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ คงอื่นๆ ที่แหยมออกมาพูดนั้นก็เป็นเรื่องที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง
การลาออกของรัฐมนตรี หรือการปรับ ครม.นั้นเป็นเรื่องปกติของรัฐบาล่ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ ในการปกครองรูปแบบใดก็ตาม เพราะการปรับ ครม.หรือ ลาออก เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง มิใช่เป็นเรื่องตื่นเต้นตกอกตกใจของประชาชนอะไรเลย เราๆ ท่านๆ ไม่ควรไปคิดแทนหรือวิตกจริตแทน ปล่อยให้บรรดาฝ่ายการเมืองพูดให้เกิดความเครียดเป็นฝ่ายเดียว
ถ้าติดตามข่าวสารต่างประเทศก็จะทราบว่าชาวบ้านขาวเมืองของเขาไม่รู้สึกตื่นเต้นอาจจะรู้สึกเฉยๆ ด้วยซ้ำไป
แต่สำหรับที่นี่ประเทศไทยการปรับ ครม.แต่ละครั้งกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นของบ้านเมือง จนทำให้รู้สึกว่าบ้านเมืองมีบรรยากาศเครียดยังไงยังงั้น เสมือนเป็นประเพณีวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศไทยในอาจไม่เหมือนใครในโลกก็ได้
ถ้าเราๆ ท่านๆ ติดตามการบริหารชาติบ้านเมืองของ คสช.(คุณสมชาย) มาตลอดระยะเวลา 3 ปีเศษ จะได้รับรู้จากฝ่าย คสช.ที่จำเป็นเข้ามายึดอำนาจรัฐประหารจากรัฐบาลชองนักการเมือง ก็เพราะฝีมือของบรรดานักการเมืองที่ปลุกปั่นประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวายรุนแรงแบบสุดซอย ทำให้ คสช.ต้องทะลุทะลวงซอยจนมีทางออก
ณ วันนี้บรรดานักการเมืองก็เอาคืน คสช.บ้าง โดยนำเหตุของการลาออก พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล มาถล่ม คสช.เป็นฉากๆ จากผลงานการบริหารประเทศในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่เจาะจงเป็นพิเศษก็คือเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมทั้งให้ปรับยกเครื่องรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจใหม่ยกชุด และให้พลเรื่องผู้มีความรู้ความสามารถมานั่งแทนรัฐมนตรีที่เป็นทหาร
การไล่จี้ให้ปรับ ครม.นั้น ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกันเหมือนเก็บกดมานาน
ไม่รู้ว่า “บิ๊กตู่” ของเราฟังการเสนอแนะการปรับ ครม.ต่างๆ จะรู้สึกปวดหัววิงเวียนศีรษะหรือไม่ แต่คิดว่าประชาชนฟังข่าวคราวคงมึนสมองแทน บางคนอาจฟังแล้วขำๆ ยิ้มในใจก้ได้
เพราะบรรดานักการเมืองที่เสนอให้ปรับโน่นปรับนี่ ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจปรับ ครม. ส่วน “บิ๊กตู่” ผู้มีอำนาจปรับ ครม. ก็คงไม่ทำตามใจทุกฝ่ายแน่ๆ
ถ้าบุคคลที่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่ (อาจหน้าเก่า) ฝ่ายการเมืองเห็นชื่อแล้วอาจร้องเย้หรือยี้ในบางคนบางตำแหน่ง พร้อมทั้งวิจารณ์รัฐมนตรีผู้มาใหม่ตามถนัดปากใครปากมันติดตามมาตามสื่อต่างๆ
แต่เชื่อว่าประชาชนคนธรรมดาสามัญชนส่วนใหญ่ไม่รู้จักรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ ก็ได้แต่ฟังกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลายๆ วันจนกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ
ไม่รู้เหมือนกันว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการปรับส่งท้ายที่ คสช.จะหมดวาระตามโรดแมปเข้าสู่โหมดเลือกตั้งในปลายปี 2561 หรือไม่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่แน่นอนก็คือ “บิ๊กตู่” คงจะต้องให้การปรับ ครม.สร้าง เรตติ้ง ผลงานด้านเศรษฐกิจรากหญ้าเพิ่มขึ้น
รัฐมนตรีที่มาจากทหารจะหาไปกี่คน รัฐมนตรีจากพลเรือนจะเข้ามากี่คน อาจจะไม่ถูกใจบรรดานักการเมืองก็ได้ แต่ถูกใจ “บิ๊กตู่” ผู้แต่งตั้งแน่นอน
แต่ที่แน่ๆ 3 ทหารเสือ ป.ปลา ไม่ไปไหนอยู่กันครบเก้าอี้เดิม ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กตู่” ป.ประยุทธ์ “บิ๊กป้อม” ป.ประวิตร และ “บิ๊กป๊อก” อ.อนุพงษ์ (น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น ปนุพงษ์ ชื่อขึ้นต้นจะได้เป็น ป.ปลาเหมือนกันหมด??)
เรื่องราวของการปรับ ครม. ก็มีการขยายความต่อๆ มาว่า คสช.จะตั้งพรรคการเมืองสู้ฟัดกับพรรคเพื่อไทย หรือมีพรรคนอมินีตั้งขึ้นมาเพื่อให้สืบทอดอำนาจหลังเสือต่อไปตามยุทธศาสตร์ 20 ปีที่ได้วางไว้ในรัฐธรรมนูญ
เมื่อมีการกระแสว่า คสช.อาจตั้งพรรคการเมืองถ้ามีความจำเป็นขึ้นมา นักวิชาการหลายคนก็มองไปถึงวันข้างหน้า เนื่องจากมีตัวอย่างในอดีตว่าจะ “จบไม่สวย”??
จบสวยหรือไม่สวย อนาคตจะมีคำตอบให้แน่นอน จบข่าว สวัสดี!!
นายจักรยาน
Social Links