ปูดขสมก.ซุ่มล็อกสเป็กเอ็นจีวี
นำเข้ารถ 32 คัน-คาดเอาใจนายกฯ
ความพยายามของ ขสมก.ที่จะดันราคากลางโครงการจัดซื้อรถเมล์ เอ็นจีวี 489 คันให้ขึ้นไปเกินกว่า 4,000 ล้านบาท สำเร็จสมความตั้งใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดหลักเกณฑ์ที่ ปปช.กำหนด เล่นปาหี่เปิดประมูลด้วยราคา 3.3 พันล้านบาทเมื่อครั้งที่แล้วก็เพื่อหาเหตุจำเป็นแย้งไปที่ ปปช.ยอมให้ขึ้นราคากลางไปที่ 4 พันกว่าล้านบาท ผู้บริหารระดับสูงระดับกระทรวงคมนาคม พยายามปั้นประเด็นรับส่งลูกกันเป็นทีมไล่ตามระดับชั้น อ้างเหตุราคารถบวกภาษีนำเข้าไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูล
ขณะที่ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเบสท์ริน ก็เคยเปิดประเด็นดักทางไว้แล้วว่า ขสมก.หรือใครก็ตามที่กำลังใช้ความพยายามผลักดันราคากลางรถเอ็นจีวี 489 คัน ที่กำลังจะมีการประมูลจาก 3.3 พันล้าน เป็น 4 พันกว่าล้าน ขอเรียนว่าราคาที่เบสท์รินชนะนั้น เป็นราคาที่รวมภาษีต่างๆ และค่าธรรมเนียมครบถ้วนแล้ว ขสมก.ยังเดินหน้าที่จะซื้อรถเมล์ในราคา 4 พันกว่าล้าน ได้สำเร็จลุล่วงจนได้ เมื่อประธานคณะกรรมการบริหารองค์การ (บอร์ด) ขสมก. ออกมาฟันธงราคากลางรถเมล์เอ็นจีวีรอบใหม่ 4,020 ล้านบาท เปิดประมูลกลางเดือนตุลาคม พร้อมส่งมอบล็อตแรก 20 คัน ก่อนปีใหม่ตามใจนายกรัฐมนตรี
รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ขสมก. ออกมาย้ำว่า โครงการจัดซื้อรถ เอ็นจีวี 489 คัน ที่ได้ล้มประมูลไปนั้น ล่าสุด ขสมก.ได้นำประกาศร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โดยใช้วงเงินราคากลางใหม่ 4,020 ล้านบาท โดยจะนำทีโออาร์ ขึ้นเว็บไซต์ เพื่อประชาพิจารณ์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 18-21 ก.ย.ที่ผ่านมา หากมีข้อเสนอแนะจากประชาชนจะนำมาพิจารณาทบทวนปรับทีโออาร์อีกครั้ง ก่อนนำประกาศร่างทีโออาร์ขึ้นเว็บไซต์ เพื่อประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย.
สำหรับการส่งมอบรถแบ่งออกเป็น 2 ล็อต ในทีโออาร์โดยล็อตแรกต้องส่งมอบ 20 คัน ภายใน 40 วัน หลังจากลงนามสัญญา เนื่องจากต้องการนำรถบางส่วนมาวิ่งให้บริการประชาชนก่อนและต้องการนำมาวิ่งให้เป็นของขวัญคนไทยในวันขึ้นปีใหม่ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตามแผนรถล็อตแรกต้องได้รับก่อนวันที่ 31 ธ.ค.60 หรืออย่างช้า ต้นเดือน ม.ค.61 ส่วนล็อตที่สองทยอยส่งมอบจนครบ 489 คัน ภายใน 120 วัน
ทั้งนี้ ราคากลางจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน วงเงิน 4,020,158,000 บาท แบ่งเป็นจัดซื้อรถโดยสาร 489 คัน เป็นเงินประมาณ 1,735,550,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (ราคา/หน่วย 3,549,182 บาท) ส่วนราคากลางจ้างซ่อมแซมและบํารุงรักษารถโดยสาร 489 คัน ระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินประมาณ 2,284,608,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แบ่งเป็นช่วงปีที่1 ถึงปีที่ 5 เป็นเงิน 825,493,125 บาท (อัตราเฉลี่ยไม่เกิน 925บาท/คัน/วัน) และช่วงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 เป็นเงิน 1,459,114,875 บาท (อัตราเฉลี่ยไม่เกิน 1,635 บาท/คัน/วัน)
น่าสังเกตคือ ราคารถบัสเอ็นจีวีคันละ 3.5 ล้านต่อคัน ก็ดูสมเหตุสมผล ราคาค่าซ่อมบำรุงรักษาช่วงปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 อยู่ที่ราคา 925 บาทต่อคันต่อวัน ก็ดูมีเหตุมีผล แต่ราคาที่พุ่งพรวดจากราคาเดิม 3.3 พันล้าน มาเป็น 4 พันล้าน พบว่ามีความตั้งใจเพิ่มส่วนต่าง 600 กว่าล้านบาท ตรงที่มีการสอดไส้ราคาค่าซ่อมบำรุงรักษาปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 อยู่ที่ราคา 1,635 บาทต่อคันต่อวัน โอเวอร์คาดว่าเป็นเงินทอนให้ใครบางกลุ่ม ถ้า ขสมก.ต้องการดันราคากลางขึ้นมาอีก 600 ล้านบาทให้ได้ ทำไมไม่ขึ้นราคาที่ตัวรถตามที่ ขสมก.อ้างเหตุกับ ปปช.ว่าราคา 3.3 พันล้านต่ำไป ราคารถบวกภาษีของตัวรถคันละ 3.5 ล้านบาทต่อคันเป็นไปไม่ได้ รวมค่าซ่อมบำรุง 10 ปี แล้วราคากลางต้องเป็น 4 พันล้านบาทเท่านั้น ถึงจะมีเอกชนสนใจร่วมประมูล แต่ ขสมก.กับบอร์ดทั้งคณะกลับเห็นชอบให้ทีโออาร์ฉบับใหม่ซุกราคาค่าซ่อมบำรุงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 แทนที่จะขึ้นที่ราคารถเอ็นจีวีบวกภาษีตามที่อ้างไว้กับ ปปช. กลับหมกเม็ดในทีโออาร์ฉบับล่าสุด
โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 60 นายสุรดิษ สีดามาตย์ บริษัท แม่โขงเทคโนโลยี จำกัด มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าชธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมบำรุงรักษา พร้อมตั้งข้อสังเกตไปที่เรื่องระยะเวลาการส่งมอบรถโดยสารครั้งที่ 1 กำหนดระยะเวลาการส่งมอบรถโดยสาร จำนวน 489 คัน ภายในระยะเวลา 120 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องส่งมอบรถโดยสารปรับอากาศ (NGV) จำนวน 20 คัน ภายในระยะเวลา 40 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา และส่งมอบรถโดยสารปรับอากาศ (NGV) ส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
ทั้งนี้ ทางบริษัทได้นำเสนอข้อคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวต่อ ขสมก. และทาง ขสมก. ได้ชี้แจงว่า “หากผู้ประกอบการเข้าใจว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น เพื่อความโปร่งใส ขสมก. จึงได้ตัดข้อความในส่วนนี้ออก” ต่อมานายสุรดิษ ทักท้วงด้วยเอกสารส่งตรงถึง ขสมก.อีกเป็นครั้งที่ 2 ว่าแม้ทางขสมก. ได้ตัดข้อความในส่วนนี้ออกไปแล้ว แต่ ขสมก.กลับเพิ่มเงื่อนไขเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการส่งมอบรถโดยสารไว้ในข้อ 6 “หลักเกณฑ์และสิทธิในการพิจารณา” โดยตั้งเป็นเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับบริษัทที่สามารถนำส่งมอบรถได้เร็วกว่ารายอื่น
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงรถโดยสารประจำทางแบบชั้นเดียว ไม่มีบันไดหรือที่เรียกว่ารถชานต่ำ มิใช่เป็นรถโดยสารแบบทั่วไป ที่มีผู้ประกอบการรายอื่นใช้งาน โดยเฉพาะเกียร์ซึ่งต้องสั่งตรงจากประเทศอเมริกาหรือเยอรมนี 2 ประเทศนี้เท่านั้นรถสเป็กของ ขสมก.ที่ว่านี้ไม่มีการสั่งผลิตอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผู้ผลิต/ผู้ประกอบการรายใด มี สต็อกสินค้าไว้ หากมีผู้ประกอบการรายใดมีสต็อกสินค้ารถโดยสารนั้นๆ ไว้อยู่แล้ว ย่อมได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการรายอื่น อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง
ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาจากกรมศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังว่า ประมาณเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา มีเอกชนรายหนึ่งนำเข้ารถบัสมีลักษณะตรงตามสเป็กและสีตามที่ ขสมก.กำหนดไว้เป๊ะ จำนวน 2 เที่ยวขน เที่ยวละ 16 คัน รวม 32 คัน รถบัสเอ็นจีวี ทั้ง 32 คัน มีการสำแดงราคาต้นทุนแบบ Non Complete หมายถึง ยังไม่สมบูรณ์ คือรถจำนวนดังกล่าวไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งต้องจ่ายภาษีนำเข้า 40 เปอร์เซ็นต์ โดยคำนวณจากราคาต้นทุนสำแดง ซึ่งจะถูกกว่าการนำเข้ามาแบบสมบูรณ์ทั้งคันมากกว่าครึ่ง แม้จะนำเข้าเครื่องยนต์มาประกอบภายหลังก็ยังเสียภาษีถูกกว่านำเข้าทั้งคันมากกว่าครึ่ง วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้ในการนำเข้ารถยนต์ในหลายๆ ประเภท
นายสุรดิษ กล่าวว่า รถบัสปริศนาหน้าตาตรงตามสเป็กขสมก.จำนวนนี้คือรถ 20 คันแรกที่คณะผู้บริหารขสมก.กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงคมนาคม ตั้งใจจะสานฝันให้นายกฯ มอบแก่ชาวกรุงเทพฯ ให้ทันปีใหม่นี้ เป็นการเอาเปรียบผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นแบบนี้แค่สั่งซื้อตรงๆ จะเสียเวลาเปิดประมูลทำไม?
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 ส.ค.60 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นซื้อซองประมูลโครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ซึ่งเอกชนทั้ง 3 ราย ได้แก่ บริษัท ไทย เทคโนโลยี แอนด์ เดเวลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป และกิจการร่วมค้า เจวีซีซี ช.ทวี ซึ่งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กำหนดว่าจะต้องมายื่นเอกสารประกวดราคาซื้อวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้ารับการตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมในวันที่ 1 กันยายนนี้ และสามารถรับรถเมล์เอ็นจีวีได้ในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ แต่ปรากฏว่าจนถึงเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาปิดทำการยื่นขอเข้าร่วมประกวดราคา แต่ไม่มีบริษัทใดเดินทางไปยัง ขสมก.สำนักงานใหญ่ เพื่อแสดงเจตจำนงในการขอเข้าประกวดราคาโครงการรถเมล์เอ็นจีวี
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า จำเป็นต้องล้มการประมูล เนื่องจากไม่มีผู้ยื่นเข้าร่วมการประมูล ส่วนกระบวนการในการทบทวนเอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ใหม่หลังจากนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการปรับปรุงราคากลางให้มีความเหมาะสม ก่อนเปิดประมูลใหม่
การประมูลครั้งนี้ใช้ราคากลางที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ชนะประมูลในครั้งก่อนที่ 3,387 ล้านบาท แต่ไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามสัญญา ซึ่งส่งผลให้เอกชนไม่เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ เนื่องจากราคาต่ำ แต่หากมีการปรับปรุงราคากลางก็อาจจะทำให้มีเอกชนเข้าร่วมประมูล ส่วนกรณีที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ยังเข้าข่ายการถูกแบล็กลิสต์หรือขึ้นบัญชีดำอยู่นั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 วันนี้ ว่าบริษัทจะสามารถผ่านขั้นตอนการคัดเลือกคุณสมบัติได้หรือไม่
Social Links