สปิริตการเมือง – ตระบัดสัตย์ – น้ำตาจระเข้
สถานการณ์การเมืองในแต่ละประเทศมีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวันไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ๆ หรือร้าย ๆ หรือเรื่องกึ่งดีกึ่งร้าย
ณ ปัจจุบันนี้ ที่นี่ประเทศไทยมีเรื่องราวของ “สปิริตทางการเมือง” หรือ จริยธรรมทางการเมือง อุบัติขึ้นมาส่งตรงถึง นายดอน ปรมัติถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เมื่อถูกคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)ชี้มูลความผิดว่า “รัฐมนตรีดอน” มีคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรีเพราะภรรยาถือครองหุ้นเกิน 5 % ซี่งเป็นการขัดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้
เรื่องของเรื่องก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา มีการเรียกร้องให้ “รัฐมนตรีดอน” แสดงสปิริต จริยธรรมทางการเมืองให้ “ลาออก” เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี ๆ ดังเช่นหลาย ๆ ประเทศที่จริยธรรมได้เจริญพัฒนาแล้ว
แต่สำหรับเมืองไทยของเรา สปิริตของนักการเมือง ยังไม่ได้พัฒนาทางจิตใจ ก็ทำให้ “รัฐมนตรีดอน” ไม่มีการแสดงสปิริตการเมืองแบบไทย ๆ พร้อมประกาศจะต่อสู้คดีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดว่าต้องกระเด็นจากตำแหน่งหรือไม่
มีกูรูฝากความเห็นมาว่า สปิริตของนักการเมือง รัฐมนตรี และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมควรที่ปฏิรูปให้สู่ยุคเมืองไทย 4.0 ได้แล้ว เพราะไม่ค่อยมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยแสดงสปิริตประกาศลาออกทันทีให้สาธุชนปรบมือด้วยความประทับใจ หลังจากที่มีข้อกล่าวหาความผิดออกมา
ด้วยเหตุฉะนี้ ในโอกาสวันวานข้างหน้าโน้น น่าจะต้องมีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเฉพาะตัว ด้วยการเขียนเพิ่มให้ชัด ๆ ดังนี้
“ต้องคำชี้มูลความผิดของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)ว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทันที โดยไม่ต้องรอส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสินว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่”
ดังเช่นมาตรา 182 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มีอยู่วรรคหนึ่งให้ “รัฐมนตรี” ต้องพ้นจากตำแหน่ง “เมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดียังไม่สิ้นสุด หรือมีการลงโทษ……..”
เมื่อไม่มีบทบัญญัติความผิดในเรื่องจริยธรรมทางการเมืองว่าต้องแสดงสปิริตลาออก ถ้าไม่ออกก็ไม่มีความผิดตามกฎหมายบ้านเมืองแต่ประการใด
นอกจากเสียงกระแนะกระแหนเหน็บแนมเรื่องสปิริตที่ดีของสากลโลก ก็เท่านั้น!!
สถานการณ์การเมืองที่ฮือฮาอื้อหือถัดมาอีกเรื่อง ก็คือเรื่องราว “ตระบัดสัตย์” คำพูดทางการเมืองมาตลอด
ไม่ว่านักการเมืองดัง ๆ คนไหนในยุคอนาล็อกมาถึงยุคดิจิทัลที่เคยลั่นวาจาว่า จะไม่เล่นการเมือง ไม่ก่อตั้งพรรค ไม่เป็นรัฐมนตรี อีกต่อไป แต่สถานการณ์เปลี่ยนก็กลืนน้ำลายตัวเองกลายเป็น “ตระบัดสัตย์” เพื่อชาติและประชาชน
เพราะคำพูดทางการเมืองในช่วงเวลาหนึ่ง พอมาถึงอีกเวลาหนึ่งก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า??
ที่สำคัญต้องขีดเส้นใต้ตัวหนา ๆ คำว่า “ประชาชน” เอาไว้ เนื่องจากการตระบัดสัตย์จะอ้างถึง “ประชาชน” ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น “ประชาชน” จะเป็นคำฮิตของนักการเมืองทุกพรรคการเมืองในช่วงนี้ที่โรดแม็พขยับใกล้เข้ามาถึงวันเลือกตั้งแล้ว!!
อีกประเด็นหนึ่งที่มีเสียงพูดกันแซ่ดในเวลานี้ ก็คือนักการเมืองคนดังมักจะเล่นการเมืองตีบทแตกกระจุยกระจายน่ามอบรางวัล “ตุ๊กตาทอง” ดารานำยอดเยี่ยมให้
เนื่องจากเล่นบทตีหน้าเศร้าได้สุดซอย..ขอประทานโทษ..สุดยอด พร้อมทั้งบีบน้ำไหลออกจากตาให้เป็นที่ฮือฮาจากสถานการณ์การเมืองใดการเมืองในเวลานั่น ๆ ที่จำต้องใช้น้ำตาของตัวเองให้สมบทบาท
เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีการสำแดง “หลั่งน้ำตา” ให้เป็นข่าวใหญ่จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายแง่หลายมุมเหมือนรู้ทันเกมการเมืองแห่งอำนาจ
สำหรับ “น้ำตา” ของนักการเมืองที่แสดงออกมานั้น มักจะมีกระแสสะท้อนเปรียบเทียบว่าเป็น “น้ำตาจระเข้”!!
ความจริงแล้วสำนวนเปรียบเปรย “น้ำตาจระเข้” ไม่ใช่เป็นของไทย แต่เป็นสำนวนของฝรั่ง คือ Crocodile’s tear
ซึ่งมีความหมายถึง การเสแสร้ง แกล้งทำร้องไห้ออกมาเพื่อแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่า สิ่งที่ผู้อื่นกำลังประสบปัญหาที่แสนยากลำบากนั้น ตัวเองก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง
ซึ่งเหมือนจระเข้เวลางับเหยื่อจะมีน้ำตาไหลออกมา แท้จริงแล้วมันไม่ได้สงสารอะไรเหยื่อเที่มันงับกำลังจะกินกลืนเข้าไปในท้องเลย เพียงแต่ตอนนั้นมันงับเหยื่อเข้าปากนั้น กระดูกขากรรไกรของจระเข้ไปบีบต่อมน้ำตาของมัน
อา..การเมืองของไทยที่มีกำลังปฏิรูปในหลาย ๆ เรื่องอยู่ในขณะนี้ แต่ดันลืมเสนอปฏิรูปเรื่องสปิริตทางการเมือง การตระบัดสัตย์ และ “น้ำตาจระเข้” !!
ด้วยเหตุฉะนี้ การเมืองไทยก็จะเจอเหตุการณ์แบบนี้ตลอดไปแหละท่านที่เคารพ!!
นายจักรยาน
Social Links