“สี จิ้นผิง”ย้ำพัฒนาภูมิภาคตะวันตกจีน
“สำคัญต่อความทันสมัยทั้งประเทศ”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของภูมิภาคตะวันตกของจีน ในระหว่างการเยือนเทศบาลนครฉงชิ่ง เมื่อวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่าภูมิภาคตะวันตกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความทันสมัยของทั้งประเทศ
นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ในการส่งเสริมการพัฒนาระดับภูมิภาคของประเทศ หลังเสร็จสิ้นภารกิจลงพื้นที่มณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีนเมื่อเดือนที่แล้วในมณฑลหูหนาน ที่ซึ่งประธานาธิบดีสีได้เน้นย้ำถึงการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ภาคกลางและส่งเสริมการพัฒนาแถบเศรษฐกิจแม่น้ำแยงซี โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาคที่สมดุลมากขึ้น
พื้นที่ทางตะวันตกของจีนประกอบด้วยภูมิภาคระดับมณฑล 12 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 70 ของประเทศ และมีประชากรร้อยละ 27 ของประเทศ ภูมิภาคตะวันตกมีชื่อเสียงในด้านแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่มากมาย เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และทรัพยากรแร่ใต้ดินต่าง ๆ เช่น แร่หายาก บอกไซต์ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณสำรองทั้งหมดของประเทศ
ที่ประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อการปฏิรูปโดยรวมเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งมีประธานาธิบดีสีเป็นประธาน ได้มีการรับรองแนวทางในการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกในยุคใหม่ แนวปฏิบัติดังกล่าวตั้งเป้าให้ภูมิภาคตะวันตกมีความเจริญเทียบเท่ากับภูมิภาคตะวันออกในด้านบริการสาธารณะ การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน และการดำรงชีวิตของผู้คนให้ได้ภายในปี 2578 เห็นได้จากการที่ภูมิภาคตะวันออกของจีนมีจีดีพีสูงกว่าภูมิภาคตะวันตกเกือบสามเท่าในปี 2566
ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า แม้ว่าภูมิภาคตะวันตกจะประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเวลาห้าปีให้หลังการรับรองแผนปฏิบัติดังกล่าว แต่ภูมิภาคนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนามากมาย พร้อมเรียกร้องให้มุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมท้องถิ่นที่มีการแข่งขันสูงและเร่งการเปิดประเทศ
ประธานาธิบดีสียังกล่าวด้วยว่า ภูมิภาคระดับมณฑลทั้ง 12 แห่งควรพัฒนาการผลิตสมัยใหม่และอุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงกลยุทธ์โดยอิงตามสภาพในท้องถิ่น เช่นพลังงานใหม่และยาชีวภาพ พร้อมเร่งการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและบริการอื่น ๆ สามารถถูกพัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรมหลักของภูมิภาคได้
เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนจากการพัฒนาที่รวดเร็วสู่การพัฒนาคุณภาพสูง ดังนั้นทุกภูมิภาคควรพัฒนาเศรษฐกิจตามเงื่อนไขเฉพาะของตนและคำนึงถึงความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ ในระหว่างการเดินทางเยือนนครฉงชิ่ง ประธานาธิบดีสียังได้เยี่ยมชมศูนย์กลางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ชุมชนในเขตจิ่วหลงโป และศูนย์ปฏิบัติการและกำกับดูแลเมืองดิจิทัล โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคอยแนะนำความคืบหน้าของระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศ โครงการฟื้นฟูเมือง และการบริหารจัดการเมืองแก่ประธานาธิบดีสี
ระเบียงการค้านี้เป็นช่องทางสำคัญระหว่างภูมิภาคตะวันตกของจีนและประเทศต่าง ๆ ในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยข้อมูล ณ เดือนมกราคมระบุว่า ระเบียงการค้าสามารถเข้าถึงท่าเรือ 490 แห่งใน 120 ประเทศและภูมิภาค และมีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบรายปีในปี 2566 ตามรายงานการดำเนินงานของรัฐบาลเทศบาลนครฉงชิ่ง
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสียังเรียกร้องให้ภูมิภาคเร่งการพัฒนาระเบียงการค้าและบูรณาการเข้ากับโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เพื่อส่งเสริมการเปิดกว้างของภูมิภาค หลังจากที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของภูมิภาคจีนตะวันตกในโครงการ BRI จะช่วยยกระดับการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคตะวันออกและตะวันตกของจีน และระหว่างจีนกับโลกภายนอกได้อย่างมาก
ในปัจจุบัน รูปแบบการเชื่อมต่อได้เกิดขึ้นเป็นรูปร่างในภูมิภาคตะวันตก โดยข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนรถไฟบรรทุกสินค้าจีน-ยุโรปที่เริ่มต้นจากภูมิภาคตะวันตกรวม 35,000 ขบวน คิดเป็นร้อยละ 50.5 ของรถไฟขนส่งสินค้าทั้งหมดของประเทศ ขณะที่ในปี 2566 มีปริมาณการนำเข้าและส่งออกรวมในภูมิภาคตะวันตกเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปี 2562
เนื่องจากภูมิภาคตะวันตกเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำสายใหญ่ของจีน เช่น แม่น้ำแยงซี แม่น้ำเหลือง และแม่น้ำหลานชาง และมีสัตว์ป่าหายากมากมาย ประธานาธิบดีสียังให้คำมั่นที่จะปกป้องความมั่นคงทางนิเวศวิทยาของชาติ
ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงการเร่งพัฒนาโครงการสำคัญในการปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่นโครงการป่าแนวกันลมสามเหนือ (Three-North Shelterbelt Forest) เพื่อรับมือกับพายุทรายและการพังทลายของดินในภาคเหนือ และส่งเสริมการประหยัดพลังงานและการลดคาร์บอนในภาคส่วนดั้งเดิม ตลอดจนการใช้ถ่านหินที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
จีนเริ่มหันมาใช้ยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อการพัฒนาขนาดใหญ่ของภูมิภาคตะวันตกในปี 2543 โดยในปี 2563 การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยต่อปีของภูมิภาคอยู่ที่ร้อยละ 10.2 ซึ่งช่วยปิดช่องว่างทางเศรษฐกิจที่มีร่วมกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้อย่างมาก โดยข้อมูลจากคณะกรรมการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติระบุว่า พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่า 21.3 ล้านเฮกตาร์ถูกแปลงเป็นป่าหรือทุ่งหญ้า โดยมีอัตราการครอบคลุมของพื้นที่ป่าไม้มากกว่าร้อยละ 19
Social Links