“อย่าถูกกลืน” (ข้อเขียนจากเฟสบุ๊คส่วนตัวของ”อลงกรณ์ พลบุตร”)

“อย่าถูกกลืน” (ข้อเขียนจากเฟสบุ๊คส่วนตัวของ”อลงกรณ์ พลบุตร”)

อย่าถูกกลืน”

(ข้อเขียนจากเฟสบุ๊คส่วนตัวของ“อลงกรณ์ พลบุตร")

              รักและห่วงเพื่อนที่จากไปทุกคน

             วันวานอ่านข่าวเห็นท่านชวนเตือนว่า “ไปแล้วให้รักษาอุดมการณ์ อย่าถูกกลืน” ผมคิดว่าเป็นการฝากหลักการหลักคิดในการครองตนของคนประชาธิปัตย์ ที่ออกจากพรรคไปอยู่ที่อื่น

             ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยออกจากพรรคไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป ตอนนั้นหมกมุ่นคิดฝันแต่เรื่องการปฏิรูปพรรคปฏิรูปประเทศ ตั้งใจไปทำแผนปฏิรูปประเทศเหมือนสถาปนิกออกแบบพิมพ์เขียวเสร็จก็จบงาน

             2 ปีกว่าที่อยู่ท่ามกลางอำนาจและโอกาส แถมมีตำแหน่งเป็นรองประธานสปท.คนที่.1 ลาภยศสรรเสริญกองอยู่ตรงหน้า ถ้าเดินต่อบนเส้นทางนั้น

             มันน่าถูกกลืนเหลือเกิน ถ้าคิดเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์ และอนาคตของตัวเอง คำเชิญคำชวนมาทั้งก่อนและหลังพ้นตำแหน่ง

             แต่ผมก็ตัดสินใจตอนนั้นว่า จะวางมือทางการเมือง เพื่อไม่ต้องเดินทางบนถนนการเมืองอีก หรือไม่ก็กลับบ้านหลังเก่าคือประชาธิปัตย์

            ก็มีคำถามตามมาว่าทำไมถึงกลับประชาธิปัตย์

             ผมบอกว่ามี 4 เหตุผลหลัก

            1.ถ้าจะเดินต่อทางการเมืองไปอยู่พรรคใหม่ก็ต้องสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ ผมทำไม่ได้ครับ ที่จะต้องรบราทำศึกกับพี่น้องของผม และประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ต้องรักษาไว้

            2.เมื่อครั้งเดินทางเข้าพรรคสมัครเป็นสมาชิก ลงเลือกตั้งที่เพชรบุรีปี2535/1 บนเวทีปราศรัยที่สนามหน้าเขาวังมีท่านชวน หัวหน้าพรรคในขณะนั้นนั่งอยู่ด้วย ผมประกาศกับประชาชนคนเมืองเพชรว่า “ผมเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์และจะตายที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเดียว”

            3.ผมอยากกลับมาปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ตามฝันที่คิดไว้ตอนเสนอปฏิรูปพรรคเมื่อปี 2556

            4.บ้านเมืองยังวิกฤติ ประชาธิปัตย์คือความหวังเพราะเป็นสถาบันการเมืองหลัก

            แล้วผมก็กลับมาของานทำที่พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม เลือกกลับมาทั้งที่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และจะอยู่อย่างไรในปลายปี 2561

            เพราะผมคงเป็นคนเดียวที่ทั้งก่อนจากไปและเมื่อกลับมาโดนดุด่าว่ากล่าวหนักหนาสาหัสมาก จากพี่ๆน้องๆในพรรค

            ถ้าคิดน้อยใจหรือไม่อดทนก็คงพกความแค้นติดตัวเตลิดไปแล้ว

            เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตบนทางแพร่งที่ต้องตัดสินใจของผม ต้องเลือกระหว่างอนาคตของตัวเองหรืออนาคตของพรรค   เป็นการเลือกครั้งที่ 2 เหมือนครั้งแรกที่ตัดสินใจมา สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2534

            กว่า 20 ปี ที่ร่วมรบทำศึกในสนามเลือกตั้งแพ้บ้างชนะบ้าง และเมื่อพรรคมอบหน้าที่เป็นประธานตรวจสอบทุจริตก็โดนคดีอาญาร่วม 20 คดี โดนฟ้องทางแพ่งเป็นพันเป็นหมื่นล้าน ต่อสู้คดีมากว่า10ปี เรียกว่าบาดแผลเต็มตัวเต็มผืนหลัง

            เขียนมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และเป็นอีกข้อคิดเตือนใจ สำหรับชาวประชาธิปัตย์ทุกคน ที่เมื่อถึงโมเมนต์ที่ต้องตัดสินใจ หรือถ้าไปแล้วก็กลับมาได้ ถ้าอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงหรือถูกกลืนเสียก่อน ตามข้อตือนใจของท่านชวน

            สำหรับผม วันนี้อายุก็มากแล้ว แต่ก็ขอเป็นคนหนึ่งที่จะยืนหยัดสู้ร่วมกับพี่น้องประชาธิปัตย์ต่อไป

            บ้านเมืองวันนี้เผชิญวิกฤติรุนแรงประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจากปัญหาเศรษฐกิจและโควิด19 การเมืองก็มีแต่ความแตกแยกแบ่งฝ่ายยาวนานมาร่วม 20 ปี

            ประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาจะไม่สร้างความขัดแย้งแต่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยกด้วยแนวทางประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐนิติธรรม เรามีแผนปฏิรูปฟื้นฟูกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่

            ประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองหลักของประเทศต้องเข้มแข็งจึงจะสามารถช่วยประเทศและประชาชนให้พ้นทุกข์ พ้นภัย สร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง พัฒนาเศรษฐกิจให้ถูกทาง โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญเอาประโยชน์ส่วนตนไว้ข้างหลัง

            นี่คือภาระหน้าที่ของเราชาวประชาธิปัตย์ ทั้งในวันนี้และวันหน้าครับ.

             อลงกรณ์ พลบุตร 7/12/2564

You may also like

เปิดตัวดัชนีชี้วัดความปลอดภัยของเด็ก บนโลกออนไลน์ทั้งในระดับชาติและระดับโลก

เปิดตัวด