เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือน–หุ้นไทยอ่อนแรงช่วงปลายสัปดาห์
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือนที่ 30.99 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขยับแข็งค่าขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ท่ามกลางอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ กลับมาทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 เดือนที่ 1.75% ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ แม้ว่าเฟดจะย้ำมุมมองว่าเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นภาวะชั่วคราว และเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงิน QE ไว้ตามเดิมต่อไป
ในวันศุกร์ (19 มี.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 30.83 เทียบกับระดับ 30.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 มี.ค.)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 30.70-31.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (24 มี.ค.) ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนก.พ. ตลอดจนถ้อยแถลงของประธานเฟด ทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์โควิด 19 และประเด็นของเรื่องวัคซีนทั่วโลก ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้-การใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจาก Core PCE Price Index เดือนก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ของจีน รวมถึงดัชนี PMI เดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย
หุ้นไทยปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,563.96 จุด ลดลง 0.27% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 84,602.98 ล้านบาท ลดลง 15.68% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 5.36% มาปิดที่ 428.18 จุด
หุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุนก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงกลางสัปดาห์ ประกอบกับมีรายงานข่าวการระงับใช้วัคซีนต้านโควิด 19 ในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หุ้นไทยดีดตัวกลับมาได้บางส่วนในเวลาต่อมา ขานรับผลการประชุมเฟด ซึ่งส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีหุ้นไทยร่วงลงอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางความกังวลต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของดัชนี FTSE ซึ่งมีผลในวันที่ 19 มี.ค.
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,550 และ 1,530 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,575 และ 1,585 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (24 มี.ค.) ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สถานการณ์โควิด 19 รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด 19 ตลอดจนสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลเดือนก.พ. รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน
Social Links