เลือกใช้ AI ตามความโดดเด่นได้
สุทธิชัย ทักษนันต์
Foundation Models เปรียบเทียบได้กับการมี Generative AI หลายตัวให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม คล้ายกับการมีคนเก่งๆที่มีความรอบรู้ แต่มีความชำนาญพิเศษในบางเรื่องไว้ใช้งาน
Foundation Models คือ Large Language Model หรือ Generative AI ขนาดใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลมหาศาลและหลากหลาย (ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ) จนสามารถเรียนรู้รูปแบบและนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้หลายด้าน (Multitask) โดยไม่จำเป็นต้องฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น (Fine-tuning)
โมเดลเหล่านี้เปรียบเสมือน “รากฐาน” ที่สามารถต่อยอดเพื่อสร้างแอปพลิเคชันและบริการ AI ที่หลากหลาย ความแข็งแกร่งของ Foundation Models อยู่ที่ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) ช่วยให้ธุรกิจลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา AI จากศูนย์
นับถึงเดือนมีนาคม 2025 บริษัทชั้นนำมี Foundation Models ที่ทรงพลัง เช่น:
- OpenAI: GPT-4.5 – โดดเด่นด้านการวิเคราะห์และสร้างเนื้อหาที่ซับซ้อน
- Anthropic: Claude 3.5 Sonnet – เน้นความปลอดภัยและการให้เหตุผลเชิงตรรกะ
- Google: Gemini 2.0 – ความสามารถแบบ Multimodal ที่ประมวลผลได้ทั้งข้อความและรูปภาพ
- Meta: Llama 3 – โมเดลโอเพนซอร์สที่สามารถปรับแต่งได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- Alibaba: Qwen 2.5-Max – เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมและธุรกิจ เก่งภาษาจีนและต้นทุนการใช้งานถูก
- xAI: Grok 3 – ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และมีความเข้าใจบริบทที่ดี
- DeepSeek: V3 – เน้นความเร็วและประหยัดทรัพยากร เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ
Developer หรือผู้ที่นำโมเดลต่างๆไปใช้ ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับโมเดลเดียว แต่ปรับเปลี่ยนเลือกคำตอบตามความเหมาะสมจาก GenAI โดยพิจารณาจาก ประสิทธิภาพ ความจำเป็น หรือต้นทุนการใช้งาน
ในการสร้าง Application ที่อยู่ในช่วง Orchestration Layer มีระบบอัตโนมัติที่กำหนดให้แอปสามารถเลือกใช้โมเดลไหนก็ได้
การกำหนดให้แอปใช้โมเดลเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงมีแนวคิดแบบ Multiple Models ซึ่งเป็นกลยุทธ์การใช้หลายโมเดลร่วมกัน
Orchestration Layer เป็นระบบที่ทำหน้าที่ “จัดการและประสานงาน” หลายโมเดลให้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น เปรียบเสมือนวาทยากรในวงออเคสตรา ตัวอย่างเช่น
- ใช้ Gemini 2.0 วิเคราะห์ภาพสินค้า → ส่งข้อมูลไปให้ GPT-4.5 สร้างคำอธิบาย → ใช้ Claude 3.5 ตรวจสอบความถูกต้อง
- ใช้โมเดลเล็ก (เช่น DeepSeek V3) ทำงานพื้นฐาน → ส่งต่อเฉพาะงานยากไปยังโมเดลใหญ่ (เช่น GPT-4.5)
การทำงานแบบ Multiple Model จะมีการเลือกโมเดลที่เหมาะกับงานย่อยแต่ละประเภท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม เช่น ใช้ DeepSeek V3 ประมวลผลข้อมูลพื้นฐาน เพื่อลดต้นทุนก่อนส่งต่องานที่ซับซ้อนไปยัง Grok 3
การเลือกโมเดลให้เหมาะกับงานจะต้องเปรียบเทียบระหว่างประสิทธิภาพ vs ต้นทุน
ตัวอย่างแนวทางในการเลือกโมเดลตามประเภทงาน เช่น
- งานที่ต้องการความแม่นยำสูง: Claude 3.5 Sonnet หรือ GPT-4.5 (เหมาะกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน)
- งานประมวลผลเรียลไทม์: Grok 3 หรือ DeepSeek V3 (ตอบสนองเร็ว ค่าใช้จ่ายต่ำ)
- โครงการโอเพนซอร์ส: Llama 3 ของ Meta (ปรับแต่งได้ฟรี)
- งานเฉพาะอุตสาหกรรม: Qwen 2.5-Max ของ Alibaba (รองรับภาษาจีน ต้นทุนต่ำ)
- เลือกโมเดลที่คิดค่าบริการตามการใช้งาน (Pay-as-you-go) แทนการซื้อสิทธิ์การใช้งานแบบเหมาจ่าย
นอกจากเลือกใช้ Foundation Models ต่างๆแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถสร้าง Generative AI โมเดลเฉพาะสำหรับตัวเองมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกได้ด้วย
อนาคตของ Foundation Models ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น คือ
- มีโมเดลเฉพาะทางที่ออกแบบเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ
- เกิดโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงแต่กินทรัพยากรน้อยลง ต้นทุนการสร้างถูกลง DeepSeek V3 เป็นตัวอย่างของแนวโน้มการพัฒนาโมเดลที่ให้ประสิทธิภาพสูงแต่ใช้ทรัพยากรน้อยลง
- จะมี AI ที่ทำงานแบบ Autonomous มากขึ้น มีการพัฒนาสู่ระบบตัดสินใจเองได้ในบางสถานการณ์
- Foundation Models จะทำงานอยู่ใน Physical AI ต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ โดรน รถไร้คนขับ
- มีฮาร์ดแวร์ศักยภาพสูงมากขึ้น สามารถรองรับการทำงานของ Generative AI แบบ Stand Alone ได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
- มีกฎระเบียบและจริยธรรมมีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกัน Deepfake และข้อมูลเท็จ
- อาจเกิดการผสานรวมเทคโนโลยี AI กับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Quantum Computing เพื่อเพิ่มศักยภาพ
การเข้าใจ Foundation Models ไม่ใช่แค่เรื่องของนักพัฒนา AI เท่านั้น แต่เป็นทักษะสำคัญสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาด
การเลือกใช้โมเดลให้เหมาะสม ผสานกับเทคนิค Orchestration และการติดตามอัปเดตอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ความรู้เกี่ยวกับ Foundation Models เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาทุกคนไปสู่อนาคตของเทคโนโลยีอย่างมั่นใจ!
Social Links