คปภ.ยกระดับการกำกับดูแล ธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม เสริมแกร่งอุตสาหกรรมประกันภัยไทย

คปภ.ยกระดับการกำกับดูแล ธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม เสริมแกร่งอุตสาหกรรมประกันภัยไทย

คปภ.ยกระดับการกำกับดูแล

ธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม

เสริมแกร่งอุตสาหกรรมประกันภัยไทย

 นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า   สำนักงาน คปภ. มีแผนยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group – Wide Supervision) ตามหลักการประกันภัย (Insurance Core Principles : ICPs) ข้อ 23 เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันที่บริษัทประกันภัย มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มธุรกิจและขยายการลงทุนไปในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัยมากขึ้น โดยได้มอบหมายให้สายกำกับธุรกิจและการลงทุน เดินหน้าศึกษาหลักเกณฑ์การกำกับดูแลจากหน่วยงาน  กำกับดูแลภาคการเงินและการประกันภัยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมากำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม ในระยะเริ่มแรกได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับแรก Solo Consolidation จะประกอบด้วย บริษัทประกันภัยและบริษัทลูก ที่บริษัทมีการถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป โดยจะมีการกำกับดูแลในหลักการเดียวกับบริษัทประกันภัย ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด และระดับที่สอง   Full Consolidation ประกอบด้วย บริษัทแม่สูงสุดและนิติบุคคลที่บริษัทมีอำนาจควบคุมหรือถือหุ้นโดยตรงหรือโดยอ้อมตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป รวมถึงบริษัทร่วมและบริษัทลูกทั้งหมด หากบริษัทแม่เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ หรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงาน คปภ. จะใช้ Supervisory College ในการกำกับดูแลเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนในการกำกับดูแล ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มีธรรมาภิบาล ที่ดีและการควบคุมภายในที่มีความเข้มแข็งสำหรับการดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจประกันภัย ซึ่งจะนำไปสู่อุตสาหกรรมที่มีเสถียรภาพ      ทางการเงินดีขึ้น และส่งผลดีต่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการบริหารความเสี่ยงที่มีคุณภาพจะช่วยคุ้มครองผู้เอาประกันภัยจากความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยหลักการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม ในระดับ Solo Consolidation ประกอบด้วยการกำหนดนิยามและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทแม่ บริษัทลูก บริษัทร่วม และกลุ่มธุรกิจประกันภัยที่ประกอบธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมีนัย (Internationally Active Insurance Groups (IAIGs)) รวมถึงกำหนดให้บริษัทประกันภัยรายงานธุรกรรมการลงทุนระหว่างบริษัทประกันภัยและบริษัทลูกภายใน 72 ชั่วโมง หรือเมื่อเกิดธุรกรรมโดยเร็ว (Use and File) ซึ่งหลักการดังกล่าวได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจประกันภัยมาเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีความเห็นโต้แย้งต่อภาพรวมของหลักการ

สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่มในระดับ Solo Consolidation มีผลบังคับใช้ โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี ธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยงแบบองค์รวมและ การประเมินความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงิน รวมถึงการควบคุมภายในสำหรับกลุ่มธุรกิจ และแบบรายงาน โดยระยะต่อไปจะหารือกับหน่วยงานการกำกับดูแลภาคการเงินและภาคการประกันภัยทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อกำหนดหลักการกำกับดูแลในระดับ   Full Consolidation ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันภัย นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

You may also like

PRIMA เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ ‘Confetti’ เครื่องประดับเพชรลุคสดใส พร้อมความหมายแห่งสีสัน

PRIMA เป