จับตาTrade War รอบใหม่ คาดมีย้ายฐานผลิตอีกระลอก ไทยได้อานิสงส์จากอุตสาหกรรมที่ลงทุนอยู่เดิม

จับตาTrade War รอบใหม่ คาดมีย้ายฐานผลิตอีกระลอก ไทยได้อานิสงส์จากอุตสาหกรรมที่ลงทุนอยู่เดิม

 นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีน เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ ที่มีการกล่าวถึงกันมาก โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้าจีน 60% และประเทศอื่นๆ อีก 10-20% ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ตลอดจนอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก

Trade War รอบแรกปี 2561 สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการปรับห่วงโซ่การผลิตโลก

หลังจาก Trade War รอบแรกผ่านมา 6 ปี สหรัฐฯ ยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงในระดับสูง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2561 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรา 301 (Unfair Trade Practice Section 301) ในการขึ้นภาษีสินค้าจีนภายใต้มาตรการปกป้องการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งหวังลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กันจีน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงในระดับสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐฯ ในปี 2566 ในขณะที่จีนยังคงเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 14% ของการส่งออกโลก

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเปลี่ยนรูปแบบไป โดยมีประเทศที่ 3 อย่างอาเซียนและเม็กซิโกเข้ามาเป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ จากรูปที่ 1 สหรัฐฯ นำเข้าจากเม็กซิโกเป็นอันดับ 1 แทนที่จีน และมีการนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มด้วย ในขณะที่จีนก็มีการตลาดส่งออกอาเซียนเป็นอัน 1 แทนที่สหรัฐฯ

รูปที่ 1 สหรัฐฯ นำเข้าจากเม็กซิโกแซงหน้าจีน ในขณะที่จีนส่งออกไปอาเซียนเป็นอันดับ 1

จาก Trade War รอบแรก การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่แตกต่างกันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากจีนที่ต่างกัน (รูปที่ 2)

สินค้ากลุ่ม 1 ที่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสูงสุดในอัตรา 25% ส่งผลให้สหรัฐฯ ลดการนำเข้าจากจีนมากที่สุด สินค้าในกลุ่มนี้เป็นสินค้าวัตถุดิบขั้นต้นและกึ่งสินค้าขั้นกลาง อาทิ HDDs ยางล้อ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องบิน อุปกรณ์โทรศัพท์ อาหารสัตว์เลี้ยง เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ลดลงจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2560 เหลือ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2566

สินค้ากลุ่ม 2 ที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม 7.5% เป็นสินค้าขั้นกลางและกึ่งสำเร็จรูป อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สินค้าเกษตรและสิ่งทอ จากผลของภาษีที่ไม่สูงเท่ากลุ่มแรกทำให้สหรัฐฯ นำเข้าลดลงเล็กน้อย จาก 1.0 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2560 เหลือ 0.9 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2566

– สินค้ากลุ่ม 3 ที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมใน Trade War รอบแรก สหรัฐฯ จึงยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น เป็นกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปในกลุ่มอุปโภคบริโภค อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า กล้องดิจิทัล เกม ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์โดยในปี 2566 มีมูลค่านำเข้า 2.12 แสนล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจาก 1.67 แสนล้านดอลลาร์ฯ ปี 2560

รูปที่ 2 สินค้าในกลุ่มที่ 3 ที่ยังไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากสินค้าจีน แต่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้า

มีข้อสังเกตว่า สินค้ากลุ่ม 3 ที่สินค้าจีนยังไม่โดนเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจาก Trade War ในรอบแรก แต่สหรัฐฯ ก็มีการนำเข้าจากแหล่งอื่นมากขึ้นไปพร้อมๆ กับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน สะท้อนว่าห่วงโซ่การผลิตโลกได้ปรับตัวรองรับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าไปแล้ว (รูปที่ 2) สหรัฐฯ ยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่มที่ 3 เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าสำเร็จรูปได้ด้วยต้นทุนต่ำ แต่ในขณะเดียวกัน สงครามการค้าและโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายฐานการผลิตไปยังอาเซียนและกลุ่มความตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งจะเห็นการนำเข้าของสหรัฐฯ จากเวียดนาม ไทย เม็กซิโกและอินเดียเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่ม 3 นี้ อาทิ โซลาร์เซลล์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ ยารักษาโรค รถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น

  • ผลการเลือกสหรัฐฯ ปี 2024 ไม่ว่าพรรคใดชนะ จะสานต่อนโยบายกีดกันการค้ากับจีน ในขณะที่ Trade War รอบใหม่อาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก

ในขณะที่พรรคเดโมแครตมีแนวทางการกีดกันทางการค้ากับจีน โดยขึ้นภาษีสินค้าจีนแบบเจาะจงในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์ พรรครีพับลิกันจะเป็นการสานต่อ Trade War รอบใหม่ โดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแบบครอบคลุม นอกจากนี้ หากประเทศใดถอยออกจากการใช้เงินสกุลดอลลาร์ฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มอีก 100% ทั้งนี้ หากเกิด Trade War รอบใหม่ สินค้าในกลุ่มที่ 3 ที่ยังไม่เคยโดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากสงครามการค้ารอบแรกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด (รูปที่ 3) และมีแนวโน้มจะเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก

รูปที่ 3 สหรัฐฯ จะสานต่อนโยบายกีดกันการค้ากับจีน ไม่ว่าพรรคใดจะได้รับชัยชนะ

  • หากมีการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยน่าจะได้อานิสงส์บางส่วนจากอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเดิมอยู่แล้ว

สินค้าในกลุ่ม 3 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูป ที่ต้องพึ่งพาจุดแข็งในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำของจีน ซึ่งเวียดนามและเม็กซิโกน่าจะได้รับประโยชน์มากสุด

– เวียดนามได้อานิสงส์ในสินค้ามีมูลค่าเพิ่มอย่างโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หูฟัง ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์

– เม็กซิโกได้ประโยชน์ในกลุ่มรถกระบะ รถบรรทุกและชิ้นส่วน และเฟอร์นิเจอร์

– ไทยน่าจะได้อานิสงส์ในกลุ่มที่มีการลงทุนอยู่เดิม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล ถุงมือการแพทย์ ถุงมือยาง น้ำผลไม้ อุปกรณ์โทรทัศน์ PCA และของเล่น เป็นต้น

โดยสรุป นโยบายกีดกันทางการค้า Trade War รอบใหม่ของสหรัฐฯ แม้ว่าในทางปฏิบัติจะได้รับคะแนนนิยมทางการเมือง และยังใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองกับจีนและนานาประเทศเพื่อให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ทางการค้ามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ มากเช่นกัน ยังไม่นับรวมกับผลกระทบกรณีมีการตอบโต้ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าจากหลายๆ ประเทศ ที่ยิ่งจะส่งผลกระทบทางลบที่มากขึ้นต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ไทยในฐานะเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนก็คาดว่า หากเกิดการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยคงจะได้รับอานิสงส์เพียงบางส่วน เนื่องจากในสินค้ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมากที่สุดนั้น ไทยมีข้อได้เปรียบที่จำกัดจากเรื่องต้นทุนการผลิต เมื่อเทียบกับเวียดนามและเม็กซิโก

You may also like

คปภ.เดินหน้า! เปิดเวทีสัมมนาวิชาการด้านประกันภัย ประจำปี 2567 “Thailand Insurance Symposium 2024”

 นายชูฉั