จีนลุยต่อ OBOR สร้างการค้าแบบเปิดให้โลก
……………………………………………………………………………………………
แบงก์กรุงเทพจัดสัมมนา “ความก้าวหน้าและความท้าทายบนเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลก” ในโอกาสครบ 5 ปีโครงการ One Belt One Road เชื่อเป็นประโยชน์กับชาติพันธมิตรทุกมิติ ระบุลงทุนแล้วกว่า 8.6 หมื่นล้านเหรียญ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6 ล้านล้านเหรียญ เผยรัฐบาลจีนเตรียมจัดใหญ่ประชุมนานาชาติครั้งที่ 2 ปีหน้า มั่นใจการค้าแบบเปิดสร้างความสงบ พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจมั่งคั่ง
“ความก้าวหน้าและความท้าทายบนเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลก” หัวข้อที่ธนาคารกรุงเทพจัดขึ้น เพื่อเกาะติดโครงการ One Belt One Road (OBOR)ในโอกาสครบรอบ 5 ปี และที่สุดโครงการนี้ของรัฐบาลจีนจะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะกับเมืองไทย “ไข่แดง” ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และความสำคัญในทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเปิดงานครั้งนี้ว่า การเกิดขึ้นของโครงการเส้นทางสายไหมใหม่นี้จะเป็นการแชร์ผลประโยชน์ระหว่างจีนกับประเทศที่เส้นทางพาดผ่าน ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ทำสัญญากับรัฐบาลหลายประเทศรวม 101 ฉบับ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนใน 24 ประเทศกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างและต่อยอดอุตสาหกรรมการผลิต การค้าและบริการ รวมถึงมีการจ้างงานไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่งในประเทศเหล่านี้
“ความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีน จะก่อประโยชน์ในลักษณะของการแบ่งปันกับทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นการเปิดกว้างและเชื่อมโยงเศรษฐกิจที่ลงตัว ในส่วนของไทยนั้น การเกิดขึ้นของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สามารถจะรองรับและเชื่อมโยงโครงการของจีนอย่างลงตัว รวมถึงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากจีนผ่านลาวลงมายังไทย จะก่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากทีเดียว”
เช่นกัน นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวสรุปว่า ปัญหาข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ใช่อุปสรรคที่จะฉุดรั้งโครงการเส้นทางสายไหมเส้นทางใหม่ ซึ่งประธานาธิบดี สี เจิ่น ผิง ได้ยืนยันก่อนหน้านี้ว่า พร้อมจะเดินหน้าขับโครงการต่อไป โดยขณะนี้ ได้เปลี่ยนจากแผนงานไปสู่ภาคการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องแล้ว เบื้องต้นรัฐบาลจีนได้ลงทุนไปแล้วกว่า 8.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ใน 82 เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งในและนอกประเทศจีน รวมทั้งสิ้นกว่า 6,000 โครงการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
“เราเชื่อมั่นว่าการค้าแบบเปิด จะนำไปสู่ความสงบและความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าโครงการสายไหมเส้นทางใหม่จะทำให้หลายๆ ประเทศที่ร่วมมือกับจีน ต้องประสบกับปัญหา “กับดักหนี้สาธารณะ” นั้น ต้องไปฟังผู้นำหลายๆ ประเทศ (ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา และบางประเทศในแอฟริกา) ที่ได้พูดและยืนยันตรงกันว่า มันไม่เป็นความจริง เนื่องจากหนี้สินดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อการก่อสร้างโครงการสำคัญๆ ที่เชื่อมโยงกับเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และระยะเวลากู้ยืมยาวนาน จนไม่เป็นภาระหนี้สิน หรือมีสัดส่วนหนี้สาธารณะที่สูงแต่อย่างใด ในทางกลับกันโครงการลงทุนที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน ยังจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังวางแผนจัดประชุมนานาชาติเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวในปีหน้าอีกด้วย” เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ย้ำ.
Social Links