ชี้ทางออกประเทศไทย “อลงกรณ์”ชู”ยุทธศาสตร์ทาง 2 แพร่ง“ ผนึกกลุ่ม BRICS ประเทศโลกใต้ฝ่าวิกฤติภาษีทรัมป์ 2.0

ชี้ทางออกประเทศไทย “อลงกรณ์”ชู”ยุทธศาสตร์ทาง 2 แพร่ง“ ผนึกกลุ่ม BRICS ประเทศโลกใต้ฝ่าวิกฤติภาษีทรัมป์ 2.0

ชี้ทางออกประเทศไทย

“อลงกรณ์”ชู”ยุทธศาสตร์ทาง 2 แพร่ง“

ผนึกกลุ่ม BRICS ประเทศโลกใต้ฝ่าวิกฤติภาษีทรัมป์ 2.0

 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเขียนบทความพิเศษเรื่องประเทศไทยกับ BRICS : ก้าวใหม่บนทางสองแพร่ง?” ไว้อย่างน่าสนใจในเฟสบุ้ควันนี้ โดยมีใจความดังนี้

ประเทศไทยกับ BRICS : ก้าวใหม่บนทางสองแพร่ง?”

โดย อลงกรณ์ พลบุตร

ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์

รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์

อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ

12 กรกฎาคม 2568

การประชุมสุดยอดBRICSครั้งที่17 จบลงแล้วโดยปีนี้จัดขึ้นที่เมืองริโอเดจาเนโร (Rio de Janeiro)มีบราซิลเป็นเจ้าภาพในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ระหว่างวันที่ 6-7 กรกฎาคมซึ่งมีความสำคัญต่อโลกและประเทศไทยในท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากผลกระทบของสงครามความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆและสงครามภาษีทรัมป์2.0ภายใต้ภัยคุกคามของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับ“สองลำดับความสำคัญหลัก”

  1. ความร่วมมือของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South Cooperation)
  2. ความร่วมมือพันธมิตร BRICS เพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม (BRICS Partnerships for Social, Economic, and Environmental Development)

นอกจากนี้ยังมีวาระ 6 แนวทางความร่วมมือหลัก

  1. ความร่วมมือด้านสุขภาพระดับโลก (Global health cooperation)
  2. การค้า การลงทุน และการเงิน (Trade, investment, and finance)
  3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change)
  4. การกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI governance)
  5. สถาปัตยกรรมการรักษาสันติภาพและความมั่นคงพหุภาคี (Multilateral peace and security architecture)
  6. การพัฒนาสถาบัน (Institutional development)

ท่าทีของกลุ่ม BRICS ต้องการสร้างสมดุลใหม่กับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐและโลกตะวันตกซึ่งประเด็นที่ให้ความสำคัญ คือ

1.การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการเศรษฐกิจโลก เพื่อให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทมากขึ้น

2.การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

3.การสร้างกลไกระหว่างประเทศทางเลือก ทั้งในด้านการเงิน การให้ความช่วยเหลือ และการระดมทุน เพื่อการพัฒนา

ศักยภาพกลุ่ม BRICS-Global South

มีข้อมูลที่สะท้อนศักยภาพของกลุ่มBRICSและกลุ่มGlobal South

  1. ศักยภาพการเติบโต

ภายหลังก่อตั้งเมื่อ16ปีก่อนกลุ่ม BRICS ขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วจากกลุ่มประเทศก่อตั้งบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยมีสมาชิกเพิ่มเติม คือ เอธิโอเปีย อียิปต์ อิหร่าน อินโดนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และในที่ประชุม BRICS หรือ BRICS Plus Summit ครั้งที่ 4 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 67 ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ได้เพิ่มประเทศพันธมิตรใหม่ 13 ประเทศแต่ยังไม่ใช่สมาชิกอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ไทย แอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย คิวบา อินโดนีเซีย คาซัคสถาน มาเลเซีย ไนจีเรีย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกิสถาน และเวียดนาม

ทั้งนี้ยังมีอีกหลายสิบประเทศที่สนใจเข้าร่วมกับBRICS

  1. ศักยภาพการลงทุน

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มBRICS ดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า จาก 84,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2544 เป็น 355,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 นอกจากนี้ ส่วนแบ่งเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกของ BRICS ก็เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 11% เป็น 22%

  1. ศักยภาพการค้า

มูลค่าการค้าของประเทศ BRICS เติบโตขึ้นมากกว่า 7 เท่า มีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง10กว่าปีที่ผ่านมา

(ข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ)

4.แนวทางการค้า Global South

การค้าระหว่างประเทศกลุ่ม Global Southเดินตามแนวทางของกลุ่ม BRICS กล่าวคือตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2566 การค้าระหว่างกลุ่ม Global South เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจาก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาคู่ค้าแบบดั้งเดิมที่ลดลง ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศกำลังพัฒนา

5.กลุ่ม BRICS กับอาเซียน

ทิศทางที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือBRICS ตั้งใจขยายบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าโลกที่สำคัญ การเข้าร่วมของอินโดนีเซีย, เวียดนาม,ไทย, มาเลเซีย จะสร้างศักยภาพทางการค้าเพิ่มเติมสำหรับกลุ่ม BRICS และกลุ่ม Global South

ในการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ได้ประกาศจุดยืนที่ไม่สอดคล้องกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในประเด็นภาษีการค้า ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (Middle East) ความจำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)และการเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence)ทั่วโลกเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความโดยกล่าวว่า  ประเทศอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับประเทศใดๆ ที่เข้าร่วมกับ “นโยบายต่อต้านอเมริกา” ของกลุ่ม BRICS ซึ่งสะท้อนท่าทีในทางไม่เป็นมิตรของประธานาธิบดีสหรัฐที่มีต่อกลุ่มBRICSอย่างชัดเจน

BRICS :ทางออกเศรษฐกิจไทย

กลุ่ม BRICSได้นำเสนอโอกาสสำหรับประเทศที่ประสบปัญหาภาษีทรัมป์ 2.0 โดยกลุ่มBRICSมี GDP รวมกันตามกำลังซื้อ (PPP) ในปี 2025 สูงถึง 77 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม G7 ถึง 1.3 เท่า นอกจากนี้ เมื่อรวมBRICS PlusมีGDP รวมกันกว่า 40% ของโลกและเติบโตเฉลี่ยที่ 4% ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าสองเท่าของการเติบโตของ G7 ที่ 1.7%

กลุ่มBRICS ยังมีอำนาจต่อรองร่วมกันด้วยจำนวนสมาชิก 11 ประเทศและพันธมิตรอีก 10ประเทศและประชากร40%ของโลก

กลุ่ม BRICS Plusได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดโลก ทั้งในด้านพลังงาน ทรัพยากรแร่ธาตุ และอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม BRICS Plusผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 32% และน้ำมันดิบ 43% ของโลก ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นอิสระด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น กลุ่มนี้ยังผลักดันกฎการค้าที่เป็นธรรมและการปฏิรูปองค์การการค้าโลก (WTO)

กลุ่ม BRICS ตอบรับให้ ประเทศไทย เข้าเป็นสมาชิกประเทศพันธมิตร(BRICS Plus)ตามมติที่ประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 16 ที่รัสเซียเมื่อวันที่ 23 ต.ค.2567

การมีสถานะเป็นใน BRICS (BRICS Plus) ของประเทศไทยเป็นทั้ง“โอกาสและความเสี่ยง”

หากประเทศไทยสามารถปรับตัวและใช้จุดแข็งด้านตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และจุดยืนด้านภูมิรัฐศาสตร์รวมทั้งภูมิเศรษฐศาสตร์จะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของกลุ่ม BRICSโดยตรงและโดยอ้อมเป็นทางออกทางเศรษฐกิจในยุคการเปลี่ยนขั้วอำนาจที่กำลังเกิดระเบียบโลกใหม่(New World Order)

ก้าวใหม่ของไทยบนทางสองแพร่ง

ประเทศไทยควรเข้าร่วมในระดับที่เหมาะสมในประเด็นที่สอดคล้องกับกุศโลบายของประเทศเพราะกลุ่มBRICSมีศักยภาพสูงและเติบโตเร็วมีประชากรมากกว่าร้อยละ 40 ของโลก มีการผลิตและการส่งออกน้ำมันของโลกร้อยละ 40 ผลิตข้าวสาลีธัญพืชหลักของตลาดโลก  35% มี GDP รวมกว่า30% ของโลก(แซงหน้ากลุ่ม G7 ที่มีสัดส่วนในเศรษฐกิจโลกลดลงเหลือร้อยละ 30) และมีสัดส่วนการค้าร้อยละ 40 ของโลก

สำหรับไทยซึ่งมีมูลค่าการค้ากับ BRICS กว่า20% ของการค้าทั้งหมด

มีข้อสรุปที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันสำหรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับไทย

  1. ลดการพึ่งพาตลาดเดิม เช่น สหรัฐและยุโรป และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มBRICS

ทั้งนี้ประเทศไทยส่งออกไปยังกลุ่ม BRICS (ตัวเลขเฉพาะ 9 ประเทศสมาชิกทางการ) โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 42,769.8 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ20% ของการส่งออกทั้งหมด และยังมีแนวโน้มเติบโตขยายตัวได้อีกในอนาคตโดยเฉพาะประเทศพันธมิตร(BRICS Plus)

2.ช่วยกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จากความผันผวนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics)และภูมิเศรษฐศาสตร์

3.ช่วยยกระดับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยโดยกลุ่มBRICS มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานผ่านกลไก New Development Bank (NDB) ซึ่งเอกชนไทยสามารถเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านก่อสร้าง เทคโนโลยี และภาคบริการ

4.เป็นโอกาสของประเทศไทยในการขยายตลาดสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากกลุ่มBRICSมีความต้องการสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าเทคโนโลยี จึงเป็นโอกาสเอกชนไทยสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่เน้นคุณภาพและนวัตกรรม เช่น สินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ เทคโนโลยีเกษตร และบริการด้านสุขภาพ

5.การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ หากในอนาคต BRICS สามารถพัฒนาไปสู่การใช้สกุลเงินของตัวเองหรือการค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้น ไทยอาจลดต้นทุนจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และสามารถใช้กลไกทางการเงินที่เอื้อต่อธุรกิจมากขึ้น

  1. การใช้จุดแข็งทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจของไทยในการเชื่อมโยงระหว่าง BRICS กับอาเซียน(ASEAN) ในการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยี และวัฒนธรรม

รวมทั้งเป็นตัวเชื่อมระหว่าง BRICS กับกลุ่มอื่น ๆ อาทิ เอเปค (APEC) บิมสเทค (BIMSTEC) และ ความร่วมมือแห่งเอเชีย (ACD:Asia Cooperation Dialogue)

อย่างไรก็ตาม การเป็นพันธมิตรกลุ่มBRICS ของประเทศไทยจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแต่ก็ต้องบริหารความเสี่ยงและความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆโดยยืนยันหลักการ “ไม่เลือกข้าง” เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเป็นหลักทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งความสัมพันธ์กับคู่ค้าดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ และ EU

การเข้าร่วมกับกลุ่มBRICSในครั้งนี้จำเป็นที่ประเทศไทยจะเป็นโอกาสในการปรับยุทธศาสตร์การค้าสู่การค้าแบบหลายเส้นทาง (Multi-Track Trade)เช่น

1.การลดการพึ่งพาจีนและกระจายการค้าไปยังสมาชิก BRICS ใหม่

2.การลดผลกระทบการส่งออกไปสหรัฐโดยเพิ่มส่งออกสินค้ารถยนต์ ยางรถยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอีเล็คโทรนิคไปยังรัสเซีย UAE ฯลฯ

รวมทั้งขยายตลาดส่งออกข้าวและอาหารแปรรูปไปยังเอธิโอเปียและอียิปต์ซึ่งความต้องการเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี พร้อมกับเร่งเจรจาขยายFTA กับอินเดีย(ขยายรายการสินค้า(early harvest)และเร่งสรุปFTAกับแอฟริกาใต้

3.ดึงดูดการลงทุนจากประเทศสมาชิกBRICSเช่น

การลงทุนจากจีนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และ EV Battery ใน EEC

การลงทุนจากอินเดียทางด้านอุตสาหกรรมยาและการลงทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE)ทางด้านพลังงานสะอาดและกองทุน Sovereign Wealth Fund

4.สร้างโอกาสจากกลุ่มBRICSเป็นสะพานเชื่อมประเทศไทยกับตลาดร่วมอเมริกาใต้ (Southern Common Market – Mercosur) สหภาพแอฟริกา (African Union)และองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) มีสมาชิก 57 ประเทศครอบคลุม 4 ทวีปซึ่งจะช่วยเพิ่มการส่งออกข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมันและอาหารฮาลาลของไทยไปยังประชากรมุสลิม 2 พันล้านคน

สรุป

การเข้าร่วมกับกลุ่มบริกส์ (BRICS)เป็นยุทธศาสตร์ทาง2แพร่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีโอกาสขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนการท่องเที่ยว การเงิน ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน การศึกษา วัฒนธรรม เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับประเทศกลุ่มBRICSมากขึ้นโดยไม่ทิ้งความสัมพันธ์กับคู่ค้าดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ และ EU

ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและความเข้มแข็งของระบบพหุภาคีที่เสรีและเป็นธรรมเป็นการยกระดับบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศในทุกมิติให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างพื้นฐานใหม่ของประเทศไทยทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่างประเทศในอนาคต

You may also like

มจพ.จัดใหญ่!สัมมนาวิชาการระดับชาติ “การพัฒนาขีดความสามารถแรงงานในองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมฯ”

มจพ.จัดใ