ดัน “หอมมะลิ”ชูโรง
อุ้มข้าวไทยส่งออก 6 ล้านตัน
…………………………………………………………………………………
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2564 ภาพการส่งออกข้าวของไทยน่าจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ที่ราว 5.8-6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3-4.8 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกที่ร้อยละ 1.7 โดยมีตัวผลักดันจากข้าวหอมมะลิที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามีการเติบโตได้เป็นอย่างดีอยู่ที่ 0.54-0.56 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7-14.8 (YoY) จนสามารถผลักดันให้การส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปตลาดโลกอยู่ที่ 1.3-1.35 ล้านตัน หรือเติบโตได้ถึงร้อยละ 9.3-13.5 ขณะที่ตลาดข้าวประเภทอื่น (ข้าวขาว ข้าวนึ่ง) คาดว่าอาจทำได้เพียงมีการเติบโตเท่ากับความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกเท่านั้น ไทยจึงอาจจะยังไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวประเภทอื่นได้ ดังนั้น ข้าวหอมมะลิจึงน่าจะเป็นตลาดที่ไทยทำได้ดีที่สุดหรือมีความสามารถในการแข่งขันส่งออกมากที่สุด และเป็นตลาดพรีเมียมที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคา สุดท้าย จะทำให้ไทยยังคงประคองตัวเลขการส่งออกข้าวไว้ได้มากกว่าปีก่อนและสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวในโลกไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราวร้อยละ 12.8
ทั้งนี้ แม้การส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 จะยังสามารถประคองตัวได้ ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยบวกคือ ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเข้าสู่วงรอบของลานีญา ทำให้มีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น แต่คงต้องยอมรับว่า การส่งออกข้าวไทยจะยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ปัจจัยลบดังกล่าวจะให้ภาพที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ให้ภาพคลี่คลายขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่น่าจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าปีก่อน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ทำให้การส่งออกข้าวไทยยังเติบโตได้ในกรอบที่จำกัด
………………………………………………………………………………….
ปิดฉากไปแล้วกับการส่งออกข้าวของไทยในปี 2563 ที่ปริมาณ 5.7 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 24.5 (YoY) ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่ภาครัฐตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน และยังนับเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี (ตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออกข้าวไทยไว้) โดยไทยหล่นมาเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ของโลก รองจากอินเดียที่ 14.6 ล้านตัน และเวียดนามที่ 6.2 ล้านตัน ตามลำดับ ปัญหาหลักที่รุมเร้าข้าวไทยคือ พันธุ์ข้าวไทยที่ไม่หลากหลายและเริ่มไม่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า ภัยแล้ง ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ล้วนเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้ยอดการส่งออกข้าวไทยในปี 2563 ดำดิ่งเป็นอย่างมาก
หากพิจารณาในรายละเอียดประเภทข้าวที่ส่งออกของไทย จะพบว่า ข้าวหอมมะลิเป็นเพียงข้าวประเภทเดียวในปี 2563 ที่มีการส่งออกเป็นบวกที่ร้อยละ 7.7 (YoY) ขณะที่ข้าวประเภทอื่นมีการส่งออกที่เป็นลบอย่างข้าวขาว (-32.3% YoY) และข้าวนึ่ง (-35.4% YoY) สะท้อนถึงศักยภาพของข้าวหอมมะลิที่แม้จะเผชิญปัจจัยลบรุมเร้า แต่ก็ยังสามารถประคองตัวอยู่ในแดนบวกได้
สำหรับในปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกข้าวของไทยในปี 2564 อาจยังประคองตัวได้ในกรอบจำกัดอยู่ที่ราว 5.8-6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3-4.8 (YoY) ซึ่งแม้การส่งออกข้าวไทยจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกคือ ปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเข้าสู่วงรอบของลานีญา ทำให้มีปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ผนวกกับเกษตรกรมีแรงจูงใจในการปลูกข้าวต่อไปจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ แต่คงต้องยอมรับว่า การส่งออกข้าวไทยจะยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ปัจจัยลบดังกล่าวจะให้ภาพที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ให้ภาพคลี่คลายขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่น่าจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าปีก่อน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา สุดท้าย จะทำให้ภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยในปีนี้น่าจะสามารถประคองการเติบโตได้แต่คงอยู่ในกรอบที่จำกัด ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวในโลกไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราวร้อยละ 12.8 นอกจากนี้ ยังมองว่า จากนี้ไปไทยน่าจะไม่สามารถกลับไปเป็นแชมป์การส่งออกข้าวโลกได้อีกแล้วดังเช่นในอดีตและที่ไทยเคยส่งออกข้าวเฉลี่ยได้สูงถึงราว 9 ล้านตันต่อปี เนื่องจากการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น รวมถึงราคาข้าวไทยที่ยังสูงกว่าคู่แข่งโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น ไทยควรมุ่งไปที่การผลิตข้าวที่เน้นการแข่งขันในเชิงมูลค่ามากกว่าเชิงปริมาณ (ที่เน้นไปแค่เพียงการจัดอันดับของผู้ส่งออกข้าวในโลกเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงด้านคุณภาพข้าว) ทำให้ความหวังของการส่งออกข้าวไทยในระยะข้างหน้าคงอยู่ที่การให้ความสำคัญกับตัวชูโรงอย่างข้าวหอมมะลิที่ควรเร่งเพิ่มการผลิตเพื่อใช้ในการส่งออกและบริโภคในประเทศ ขณะที่ในด้านราคาก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าข้าวประเภทอื่น จึงนับว่าข้าวหอมมะลิน่าจะมีโอกาสและศักยภาพมากที่สุดในพันธุ์ข้าวที่ไทยมี ณ ขณะนี้
ข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวพื้นนุ่มเกรดพรีเมียม (Premium Grade) ของไทยที่มีราคาส่งออกอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับข้าวประเภทอื่น และสามารถตอบสนองความต้องการข้าวพื้นนุ่มในตลาดเฉพาะกลุ่มพรีเมียมที่มีกำลังซื้อสูง (Niche Market) โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา จึงเป็นข้าวที่มีศักยภาพที่ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมมากที่สุดในเวลานี้ ผนวกกับการที่ข้าวหอมมะลิไทยได้รับรางวัลชนะเลิศข้าวที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2563 หรือ World’s Best Rice Award 2020 จะยิ่งเป็นการการันตีถึงคุณภาพของข้าวหอมมะลิไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ทั้งนี้ หากพิจารณาตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิอันดับหนึ่งของไทยอย่างสหรัฐอเมริกา จะพบว่า ตลาดส่งออกสหรัฐอเมริกามีบทบาทในสัดส่วนที่มากขึ้นตามลำดับ จนถือครองสัดส่วนร้อยละ 41 ของปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิทั้งหมดของไทย และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี นับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่าประเทศคู่ค้าอื่นของไทยอีกด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ข้าวหอมมะลิน่าจะเป็นตัวชูโรงของการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ให้ประคองตัวต่อไปได้รวมถึงในระยะข้างหน้า (เมื่อเทียบกับข้าวขาวและข้าวนึ่งที่มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงกว่า และเป็นตลาด MASS) เพราะมีเอกลักษณ์คุณภาพด้านความหอม เหนียว นุ่ม และยังตอบโจทย์รสนิยมของผู้บริโภคโดยเฉพาะในตลาดส่งออกที่แข็งแกร่งของข้าวหอมมะลิไทยอย่างสหรัฐอเมริกาที่น่าจะยังสามารถเติบโตได้ดี โดยคาดว่า ในปี 2564 ปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยไปสหรัฐอเมริกาอาจอยู่ที่ 0.54-0.56 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7-14.8 (YoY) จนช่วยหนุนให้ปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิทั้งหมดของไทยอยู่ที่ราว 1.3-1.35 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3-13.5 (YoY) เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีประชากรจำนวนมากกว่า 330 ล้านคน และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่อยู่ในระดับสูงราว 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี จึงยังเป็นประเทศเป้าหมายของข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นข้าวเกรดพรีเมียมของไทย ประกอบกับคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเติบโตที่ร้อยละ 3.1-5.1 อีกทั้งภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด จะทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านเป็นหลัก จึงมีความต้องการข้าวเพื่อนำไปประกอบอาหาร รวมถึงการกักตุนอาหารที่มากขึ้นด้วย นอกจากนื้ หากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ก็จะเป็นปัจจัยให้ร้านอาหารไทยที่มีอยู่มากมายในสหรัฐอเมริกาสามารถทยอยกลับมาให้บริการได้ ซึ่งข้าวหอมมะลิได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภคทั้งในกลุ่มชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกาที่บริโภคข้าวเป็นหลัก รวมถึงชาวอเมริกันที่บริโภคข้าวควบคู่ไปกับอาหารหลัก นอกจากนี้ ยังสามารถใช้โอกาสในด้านคุณภาพข้าวไทยเจาะตลาดเพิ่มเติมในกลุ่ม Millenials ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่น่าจะมีศักยภาพ โดยเฉพาะในสินค้าที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพมากขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นวัยทำงานที่มีกำลังซื้อเช่นกัน รวมถึงผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว อาหารเช้า ขนมขบเคี้ยว แป้งทำขนม น้ำมันรำข้าว และเครื่องดื่มนมจากข้าว เป็นต้น ก็ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการทำตลาดข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มเติมด้วย
ดังนั้น ในปี 2564 ภาพการส่งออกข้าวของไทยน่าจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ที่ราว 5.8-6.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3-4.8 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกที่ร้อยละ 1.7 โดยมีตัวผลักดันจากข้าวหอมมะลิที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามีการเติบโตได้เป็นอย่างดี จนสามารถผลักดันให้การส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปตลาดโลกเติบโตได้ถึงร้อยละ 9.3-13.5 ขณะที่ตลาดข้าวประเภทอื่น (ข้าวขาว ข้าวนึ่ง) คาดว่าอาจทำได้เพียงมีการเติบโตเท่ากับความต้องการข้าวทั้งหมดในตลาดโลกเท่านั้น ไทยจึงอาจจะยังไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวประเภทอื่นได้ ทำให้ข้าวหอมมะลิน่าจะเป็นตลาดที่ไทยทำได้ดีที่สุดหรือมีความสามารถในการแข่งขันส่งออกมากที่สุด และเป็นตลาดพรีเมียมที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคา สุดท้าย จะทำให้ไทยยังคงประคองตัวเลขการส่งออกข้าวไว้ได้มากกว่าปีก่อนและสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวในโลกไว้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราวร้อยละ 12.8
ขณะที่ในมุมของราคาส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จะเห็นว่า แม้ราคาข้าวหอมมะลิของไทยจะสูงกว่าคู่แข่ง แต่ด้วยคุณภาพข้าวที่ดี ถูกปากผู้บริโภค ทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นตลาดข้าวที่ไม่ได้แข่งขันด้านราคาเป็นหลัก (เน้นคุณภาพ) อย่างไรก็ดี พบว่า ราคาข้าวหอมมะลิไทยมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง และทำให้มีช่วงห่างของราคาเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่แคบลง ทำให้ไทยน่าจะมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างอินเดียก็มีคุณภาพข้าวที่ยังเทียบชั้นกับไทยไม่ได้ และแม้ว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามจะมีราคาข้าวถูกกว่าไทย แต่ด้วยปริมาณการส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐอเมริกาที่ยังอยู่ในสัดส่วนน้อยและคุณภาพที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก จึงคาดว่า ไทยจะยังไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่งมากนัก และน่าจะยังสามารถครองตลาดข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกาได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในปีนี้
สรุป จากศักยภาพของข้าวหอมมะลิไทยที่ยังคงแข็งแกร่งโดยเฉพาะในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ตอบโจทย์ตลาดข้าวพื้นนุ่มที่เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าราคา ดังนั้น ไทยควรจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตข้าวหอมมะลิให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ (Yield) เพราะการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวของไทยคงทำได้ยาก โดยเฉพาะแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีพื้นที่ปลูกราวร้อยละ 97.2 ของพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิในพื้นที่ทั้งประเทศ และยังเป็นโอกาสที่ดีในภาวะที่ไทยเข้าสู่วงรอบของปรากฏการณ์ลานีญา อันจะช่วยให้พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่อยู่นอกเขตชลประทานกว่าร้อยละ 75 ให้สามารถมีปริมาณน้ำที่เพียงพอในการปลูกข้าวหอมมะลิได้ดีขึ้น ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตข้าวให้สูงขึ้นด้วย อันจะเป็นการลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นของผลผลิตข้าวหอมมะลิเพื่อตอบรับความต้องการของตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน ผู้ส่งออกข้าวไทยเองก็ยังต้องรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านอาหารที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาอย่างเคร่งครัด ทั้งการปฏิบัติตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) และ HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) รวมไปถึงการควบคุมปริมาณสารตกค้าง/สารปนเปื้อนต่างๆ ไม่ให้เกินปริมาณที่กำหนดไว้ อีกทั้งการยกระดับคุณภาพข้าวหอมมะลิไทย เช่น การควบคุมการผลิตและการติดฉลากสินค้าอินทรีย์ จะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยให้มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้นไปอีก

THAI
Social Links