บาทแข็ง หุ้นขึ้น
จับตาผลประชุม กนง. – ผลประกอบการไตรมาส 2 บจ.ไทย
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
- เงินบาทพลิกแข็งค่าอีกครั้ง ตลาดกลับมามองความเป็นไปได้ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยเดือนก.ย. นี้
เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันต่อเนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงาน (การจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงาน) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดมาก ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ตลาดเพิ่มการคาดการณ์ถึงโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. นี้ เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าในช่วงต่อมา และแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 32.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังเงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากข้อมูล ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณอ่อนแอ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของภาษีของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ และประเด็นระหว่างปธน. ทรัมป์ และเฟด
นอกจากนี้ สถานการณ์ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติที่อยู่ในฝั่งซื้อสุทธิในสัปดาห์นี้ ช่วยบรรเทาแรงกดดันจากความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก และเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมของเงินบาท อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกเล็กน้อยตามการปรับโพสิชั่นก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุด ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามการประชุมกนง. ในวันที่ 13 ส.ค. นี้อย่างใกล้ชิด
ในวันศุกร์ที่ 8 ส.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (1 ส.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 4-8 ส.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 6,454 ล้านบาท และ 2,883 ล้านบาทตามลำดับ
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 11-15 ส.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง. (13 ส.ค.) ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติและราคาทองคำในตลาดโลก ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาสินค้าส่งออกและนำเข้า ตัวเลขยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนส.ค. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของจีน ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของอังกฤษยูโรโซนและญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
- ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนระหว่างสัปดาห์ ก่อนจะลดช่วงบวกลงช่วงท้ายสัปดาห์
ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ท่ามกลางแรงซื้อหลัก ๆ จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในรอบการประชุมเดือนก.ย. ที่จะถึงนี้ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มแบงก์ กลุ่มสื่อสารที่ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาค่อนข้างดี ตลอดจนหุ้นบริษัทสายการบินรายใหญ่แห่งหนึ่งจากการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
อย่างไรก็ดี หลังจากดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนที่ 1,280.78 จุดก็ย่อตัวลงในช่วงท้ายสัปดาห์ตามแรงขายเพื่อปรับโพสิชั่นของนักลงทุนก่อนวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ
ในวันศุกร์ที่ 8 ส.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.07 จุด เพิ่มขึ้น 3.34% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 54,864.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.24% มาปิดที่ระดับ 254.99 จุด
สัปดาห์นี้(11-15 ส.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,230 และ 1,215 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (13 ส.ค.) ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของ บจ.ไทย รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
Social Links