ภาคี สสส.ห่วง “ปลดล็อคโควิด”
ถกสื่อลดสูญเสียช่วงสงกรานต์
สสส.จับมือมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) ภาคีเหล้า – อุบัติเหตุ ระดมความเห็นสื่อมวลชน สงกรานต์ในสถานการณ์โควิด 19 เหตุเพราะปีนี้คลายล็อคเปิดเดินทางเต็มที่ไม่ห้ามขายเหล้าห่วงจะทำให้สูญเสียบาดเจ็บและตายมากกว่าปีที่แล้ว เรียกร้องตรวจเข้มวัดไข้ ใส่หน้ากาก พร้อมหมวกกันน็อก ส่วนผู้แทนสื่อมวลชนได้เสนอ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมตระหนักและรับผิดชอบ
มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)ได้จัดประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นกับสื่อมวลชน เรื่อง สงกรานต์ปลอดเหล้า ถนนปลอดภัย ในสถานการณ์โควิด 19 มีสื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์เข้าร่วมประชุมด้วย
นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) กล่าวว่ามูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ให้ดำเนินโครงการสานพลังสื่อมวลชนไทย ลดปัจจัยเสี่ยง สร้างวิถีสุขภาวะ เพื่อทำงานร่วมกันกับสื่อมวลชน และองค์กรสื่อมวลชนทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์อย่างใกล้ชิด เพื่อรณรงค์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะเพื่อขยายผลในวงกว้าง การจัดกิจกรรมประชุม Focus Group เรื่องสงกรานต์ปลอดเหล้า ถนนปลอดภัย ในสถานการณ์โควิด เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเวทีให้สื่อมวลชนและภาคีสุขภาวะของสสส.ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์และความคิดเห็น พร้อมกับจะได้รับฟังข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนสงกรานต์ปลอดเหล้า ถนนปลอดภัย ในสถานการณ์โควิด เพื่อลดการบาดเจ็บและการเสียชีวิตลงให้ได้มากที่สุด
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) กล่าวว่าสงกรานต์ในปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่มีจำนวนอุบัติเหตุรุนแรง (ต้อง admit) ลดลง 61.2% ที่สำคัญยอดผู้เสียชีวิตลดลงถึง 56.8% ทั้งนี้เพราะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 รัฐบาลได้ออกมาตรการสำคัญ หรือการใช้ยาแรง 3 ประการ คือ มีการล็อคดาวน์ (lock down) เคอร์ฟิว (curfew) และห้ามขายเหล้า ในขณะที่สงกรานต์ 2564 ครั้งนี้ แม้ยังมีสถานการณ์โควิด 19 แต่ไม่ได้มีมาตรการยาแรงแบบสงกรานต์ปี 2563 ประกอบกับ คาดว่าปีนี้ผู้คนจะกลับบ้านไปฉลองสงกรานต์หรือพบปะสังสรรค์ในหมู่เครือญาติกันมากขึ้น เนื่องจากหลายคนไม่ได้กลับมานาน ครั้งนี้ภาครัฐมีการประกาศหยุดเพิ่มอีก 1 วันทำให้มีวันหยุดยาวต่อเนื่องทั้งสัปดาห์
ดังนั้นมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นคือหนึ่ง ความเสี่ยงช่วงเดินทาง ทั้งเรื่องขับเร็ว ง่วงหลับใน โดยเฉพาะเรื่อง “ความเร็ว” ซึ่งสงกรานต์2563 ที่ผ่านมา พบความเร็วเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตถึง 49.7% เพิ่มสูงกว่าปี 2562 ส่งผลให้ความรุนแรงของอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น โดยมีถึง 56.89% ที่เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ และสอง ความเสี่ยงช่วงฉลอง ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีการฉลองและงานรื่นเริงเร็วขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 10-11-12 เมษายน ก่อนสงกรานต์เพราะมีการหยุดยาว รวมทั้งไม่ได้มีมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหมือนสงกรานต์ปีที่แล้ว นอกจากนี้ความเสี่ยงสำคัญประการที่สามที่พบทั้งในช่วงเดินทางและช่วงฉลอง คือการขับขี่โดยไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย โดยเฉพาะผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มหลัก ( 84.3% ) ที่เสียชีวิต และพบว่าในกลุ่มนี้ 3 ใน 4 หรือ 75.6 % ไม่สวมหมวกกันน็อค ซึ่งปัจจัยสำคัญที่มาเกี่ยวข้องคือยิ่งดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งไม่สวมหมวกกันน๊อค
นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากแนวโน้มการคาดการณ์ความเสี่ยงความสูญเสียที่จะเพิ่มขึ้นในสงกรานต์นี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคนโยบายและหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานหลัก ทั้ง กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ต้องวางแผนโดยใช้กลไกในพื้นที่ เช่น ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอและท้องถิ่น ร่วมกับชุมชน-แกนนำอาสาสมัครต่าง ๆ เข้ามาจัดการความเสี่ยง โดยบูรณาการให้เกิดมาตรการทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ในส่วนมาตรการชุมชนก็ผสมผสานไปกับมาตรการป้องกันโควิด ระดับชุมชน เช่น ด่านชุมชนมีการกำกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทั้งตรวจวัดไข้-การใส่หน้ากากอนามัยควบคู่ไปกับการสวมหมวกกันน็อคด้วย “ทุกการตาย ทุกการสูญเสีย ต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่กลายเป็นเรื่องของการทำตัวเองของเหยื่อ”
นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาเครือข่ายงดเหล้าโดยการสนับสนุนของ สสส. ได้ผลักดันเรื่องการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้า โดยมี 50 ถนนตระกูลข้าวและพื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้ากว่า 100 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วม อย่างไรก็ตามสงกรานต์ปีนี้จะมีการหยุดยาวถึง 9 วัน มีสัญญาณเตือนว่าประชาชนจะกลับไปตั้งวงสังสรรค์และดื่มหนักมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงจากความมึนเมาจะมากขึ้น และหากมีการดื่มแล้วขับก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มรถจักรยานยนต์ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดมาตรการป้องกันที่ต้นน้ำให้มากขึ้น เพื่อทำให้การดื่มในช่วงเทศกาลสงกรานต์ลดลง
ด้วยเหตุนี้เครือข่ายงดเหล้าจะส่งสัญญาณไปที่เครือข่ายชุมชนต่างๆ ที่ทำงานอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ สวนสาธารณะ สวนอาหารริมน้ำ สถานที่เล่นน้ำ หาด หรือแก่งต่างๆ เพื่อร่วมกันหามาตรการเชิงรุก ขอความร่วมมือร้านค้าและประชาชนไม่ให้มีการจำหน่ายและนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปดื่มในพื้นที่ รวมทั้งการนำเอามิติทางวัฒนธรรมประเพณีวิถีชุมชน อาทิ ทำบุญสรงน้ำพระ การก่อพระเจดีย์ทราย การสมโภชสงกรานต์และกิจกรรมการละเล่นในชุมชน มาใช้เพื่อเป็นกุศโลบายสร้างกิจกรรมที่เน้นคุณค่าความหมายและความเป็นมงคลให้แก่ชีวิต เพื่อให้แต่ละครอบครัวใช้เวลาไปกับกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม แทนมุ่งไปเฉลิมฉลองตั้งวงดื่มตลอดวันหยุดยาว พร้อมทั้งฝากอยากให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอุบัติเหตุในเชิงสอบสวน สืบสวน เพื่อหาสาเหตุของความสูญเสีย ซึ่งบางกรณีอาจโยงไปถึงภาคธุรกิจ เพื่อมีส่วนรับผิดชอบด้วย
ทางด้านตัวแทนสื่อมวลชนที่มาร่วมประชุม อาทิ นสพ. ไทยรัฐ,นสพ,สยามรัฐ ,นสพ,แนวหน้า ,โทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7 ,ไทยรัฐทีวี, โทรทัศน์ดาวเทียม IPM , FM 100.5 อ.ส.ม.ท. ,และ สำนักข่าว The Standard เป็นต้น ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า ข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การสื่อสาร รณรงค์ เพื่อกระตุกให้สังคมทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ร่วมรณรงค์และรับผิดชอบถึงความสูญเสีย จากอุบัติเหตุ ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาล
Social Links