มองการเมือง+เศรษฐกิจโลก แล้วย้อนมาดู “ไทย” ในปีหน้า (1)

มองการเมือง+เศรษฐกิจโลก แล้วย้อนมาดู “ไทย” ในปีหน้า (1)

มองการเมือง+เศรษฐกิจโลก

แล้วย้อนมาดู “ไทย” ในปีหน้า (1)

 

            แผนยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศของ “ชาติมหาอำนาจ” ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ทางการทหาร ยุทธศาสตร์ทางการเมือง และยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ มักจะหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้จะแยกกันเดิน…ในบางครั้ง ทว่าปลายสุดท้าย มักจะไหลไปรวมกันที่ “ผลประโยชน์” ของชาติตัวเองเป็นสำคัญ

            จากบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลายครั้งที่พบว่า…เบื้องหลังของสงคราม ทั้งทางด้านการทหาร ด้านการเมือง และ/หรือ ด้านเศรษฐกิจ มักจะมีความเชื่อและความศรัทธาคอย “บงการ” อยู่เบื้องหลัง

            ไม่แปลก! หากทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าว ThaiBCC.news จะย้ำอีกครั้งว่า…ศาสนาและการเมือง หลายครั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน

            ตราบใดที่ประเทศไทย…ยังคงเป็นหนึ่งในแผนภูมิ “ภูมิศาสตร์ทางการทหาร” (ฟากฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ที่สำคัญจุดหนึ่งของโลก แน่นอนว่า…รัฐบาลไทยย่อมต้องถูกจับจ้อง เกาะติด และกดดันจากมหาอำนาจเหล่านั้น ดังนั้น การที่รัฐบาลไทย…ขยับขับเคลื่อนตัวในเวทีโลกไปในทิศทางใด

            ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้ง…ประเทศไทย รัฐบาลไทย ธุรกิจไทย และคนไทย อย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน

            การแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายด้านการประเทศของทางการสหรัฐฯ กรณีรัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ ลงคะแนนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ร่วมกับอีก 127 ประเทศ สนับสนุนร่างมติเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา เพิกถอนการรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ก่อนหน้านี้

            สร้างความเดือดดาลใจต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างมาก

            ทั้งที่ความเป็นจริง ประเทศเล็กๆ แต่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางด้าน “ภูมิศาสตร์ทางการทหาร” ที่สำคัญของโลก อย่างประเทศไทย ควรจะวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้ ด้วยการ “งดออกเสียง (Abstention)” เหมือนกับอีก 35 ประเทศ ซึ่งมี แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีพรมแดนติดกับสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย

            นั่นเพราะว่า…รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ คสช. ถูกกดดันและชี้นำจากกลุ่มศาสนาที่เปิดหน้าต่อต้านการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนและให้การรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล

            ถึงได้ย้ำว่า…การเมืองกับศาสนา บางครั้งก็เป็นเรื่องเดียวกันที่ยากจะแยกออกจากกัน

 

            หลายคนอาจมีคำถามทำนอง…กลุ่มก้อนของคนที่นับถือศาสนาอิสลามเพียง 60 กว่าคนใน สนช.ทั้งหมด 250 คน จะไปมีอิทธิพลอะไรเหนือ สนช.และรัฐบาล คสช.?

            คำตอบของคำถามนี้ ก็คือ ปรากฏการณ์ที่รัฐบาลไทย ได้ประกาศให้ชาวโลกรับรู้ ถึงจุดยืนที่ว่า…ประเทศไทยจะยืนเคียงข้าง…มติสหประชาชาติที่ต้องการให้สหรัฐอเมริกา เพิกถอนการรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล

            จนกลายเป็น “จุดเสี่ยง” ต่อการพุ่งเป้าโจมตีจากฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์

            ทั้งที่ความเป็นจริง…รัฐบาล คสช. น่าจะวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้ ด้วยการ “งดออกเสียง” อย่างที่เกริ่นในตอนต้น

            ทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าว ThaiBCC.news ไม่รู้สึกหวาดหวั่นกับคำขู่การจะตัดความช่วยเหลือด้านการเงินกับประเทศที่สนับสนุนร่างมติดังกล่าว ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศว่า…

            “พวกเขาเอาเงินไปเป็นร้อยล้านพันล้าน จากนั้นก็ลงคะแนนต่อต้านเรา…ให้เขาลงคะแนนต่อต้านเราไปเลย เราจะประหยัดเงินได้อีกมาก เราไม่ใส่ใจ”

            หรือแม้แต่ประโยคคำพูดของ นางนิกกี เฮลีย์ ทุตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น ที่ระบุว่า “สหรัฐฯ จะจดจำวันนี้ ซึ่งสหรัฐฯ ถูกโจมตีเพียงประเทศเดียวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ จากการใช้สิทธิ์ที่รัฐเอกราชพึงมี”

            จุดยืนของสหรัฐฯ หลังจากนี้ ต่อกลุ่มประเทศที่ต่อต้านพวกเขา คือ จดจำและตัดความช่วยเหลือในทุกๆ ด้านที่เคยมี

            สำหรับประเทศไทย ก่อนหน้าจะมีการทำรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ทางการสหรัฐฯ เคยให้ความช่วยเหลือทางด้านการทหารและความมั่นคงแก่รัฐบาลไทย ราว 10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 343 ล้านบาทต่อปี โดยในทุกๆ ปี ก็จะร่วมทำการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกัน ภายใต้รหัส “คอบร้าโกลด์” ในประเทศไทย 

            แต่หลังจากมีรัฐบาล คสช. ทางการสหรัฐฯ ได้ตัดความช่วยเหลือในส่วนนี้ออกไป เหลือเพียงปีละ 4.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 153 ล้านบาทต่อปีแทน

            ไม่เพียงตัดงบช่วยเหลือทางด้านการทหารและความมั่นคง รัฐบาลสหรัฐฯ ยังจะเรียกร้องให้ประเทศไทยหวนกลับคืนสู่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยโดยเร็วอีกด้วย

            อย่างที่บอก…เราไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่ทางการสหรัฐฯ จะตัดความช่วยเหลือด้านงบประมาณทางการทหารและความมั่นคง เพราะเงินในส่วนนี้…แทบไม่มีผลกระทบเชิงบวกใดๆ ต่อระบบเศรษฐกิจไทย

 

            ครั้น ทางการสหรัฐฯ จะไม่สานต่อความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับปกติ รวมถึงยังจะคงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาล คสช.ต่อไป สิ่งเหล่านี้…ก็ไม่ได้ทำระบบเศรษฐกิจของไทย ดีขึ้นกว่าช่วงหลังมีการทำรัฐบาลเมื่อปี 57

            แต่สิ่งที่ ทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าว ThaiBCC.news ห่วงมากกว่านั้น คือ….

 

(อ่านต่อ…ตอนที่ 2)

ทีมข่าวเศรษฐกิจ

สำนักข่าว ThaiBCC.news

 

 

You may also like

ยักษ์เทคทุกแห่ง โดดเข้าตลาด AI

ยักษ์เทค