รัสเซียกับการถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘รัฐสนับสนุน’ ก่อการร้าย

รัสเซียกับการถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘รัฐสนับสนุน’ ก่อการร้าย

รัสเซียกับการถูกกล่าวหาว่าเป็น รัฐสนับสนุนก่อการร้าย

ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค

คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

       เมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน ปีค.ศ.2022 ที่ผ่านมา รัฐสภายุโรปได้ลงมติประกาศให้รัสเซียเป็น “รัฐผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย” «Государства — спонсоры терроризма»  จากการกระทำของตนในยูเครน ตามคำร้องขอของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครน  โดยอ้างถึง “การเจตนาโจมตีและการกระทำอันโหดร้ายของกองกำลังรัสเซียต่อพลเรือนชาวยูเครน  การทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นการก่อการร้ายและการก่ออาชญากรรมสงคราม” ซึ่งเป็นการลงมติที่ยากที่สุดในบรรดามติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่รัฐสภายุโรปเคยพิจารณา แม้ว่ามติครั้งนี้อาจไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่การยอมรับมติดังกล่าวอาจส่งผลทำให้การเผชิญหน้าระหว่างสหภาพยุโรปและรัสเซียแย่ลงไปอีก

โดยเอกสารการลงมติฯ ได้ให้รายละเอียดไว้ว่า “รัสเซียภายใต้ระบอบเผด็จการของวลาดิมีร์ ปูตินได้ทำสงครามรุกรานยูเครนอย่างผิดกฎหมาย ปราศจากการยั่วยุ และไม่ยุติธรรม” “กองกำลังรัสเซียและกองกำลังกึ่งทหารกำลังทำลายล้างประชากรพลเรือนในยูเครนอย่างเป็นระบบ” โดยยกตัวอย่างของการกระทำดังกล่าวเช่น “การสังหารหมู่พลเรือนในเมืองบูชา «Буча» และเมืองอีร์เปน «Ирпень»  ”การเจตนาโจมตีโรงละครในเมืองมารีอูโปล” «Мариуполь » ”การทิ้งระเบิดสถานีรถไฟครามาทอร์สค์” Железнодорожный вокзал «Краматорск»  “การโจมตีใส่ห้างสรรพสินค้าในเมืองเครเมนชุก” «Кременчук» “โจมตีขบวนรถพลเรือนในภูมิภาคซาปอรอสสกี «Запорожская область»

เป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ของรัสเซียได้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงกรณีเล่านี้และกรณีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันนั้นเป็นเกิดขึ้นจากการยั่วยุจากเคียฟและพันธมิตรตะวันตกและเป็นผลจากสงครามข้อมูลข่าวสารที่ใส่ร้ายรัสเซียซึ่งปล่อยโดยตะวันตก

จากข้อมูลของรัฐสภายุโรป จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2022 ในระหว่างการโจมตีด้วยขีปนาวุธและปืนใหญ่ของรัสเซีย พบว่าโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน  60,982  แห่งในยูเครนได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย รวมถึงอาคารที่อยู่อาศัย 42,818 หลัง สถาบันการศึกษา 1,960 แห่ง สถาบันการแพทย์ 396 แห่ง สถานที่ทางวัฒนธรรมและอาคารสิ่งปลูกสร้างทางศาสนา 479 แห่ง  มติดังกล่าวแถลงว่า “กองทหารรัสเซียยังคงจงใจกำหนดเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของยูเครน  สร้างความหวาดกลัวให้กับประชากรและปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้าถึงก๊าซ ไฟฟ้า น้ำ อินเทอร์เน็ต สินค้าและบริการพื้นฐานอื่นๆ  ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียอย่างมากเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว” ในขณะที่กระทรวงกลาโหมของรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธและยังคงอ้างว่าพวกเขาได้ทำการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและสิ่งที่เกี่ยวข้องเท่านั้น”

รัฐสภายุโรปยังได้กล่าวโทษรัสเซีย กองกำลังติดอาวุธ และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

         “การยึดครอง” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริฌเฌียและการก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มีความสำคัญ

–         อาชญากรรมต่อพลเรือน รวมถึง “การสังหารหมู่ การทรมาน การข่มขืน และการกักขังหมู่ในศูนย์คัดกรอง”;

–         “การบังคับเด็กยูเครนเป็นบุตรบุญธรรม” และ “การบังคับเนรเทศ”;

–         “การปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างไร้มนุษยธรรม”

มติดังกล่าวยังอ้างว่ารัสเซียกำลังทำ “สงครามข้อมูลข่าวสารอย่างแข็งขัน” กับยูเครน  “เผยแพร่ข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดำเนินปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำให้สังคมยูเครนสั่นคลอน และพยายามทำลายชื่อเสียงของทางการยูเครนในเวทีระหว่างประเทศ”

อย่างไรก็ตาม มติยังกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยูเครนเท่านั้น “กองกำลังติดอาวุธของรัสเซียและกลุ่มที่ควบคุมโดยรัสเซียได้โจมตีพลเรือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายพื้นที่ รวมถึงในช่วงสงครามเชเชนครั้งที่สอง, สงครามรัสเซีย-จอร์เจียในปี ค.ศ. 2008 , สงครามกลางเมืองในซีเรีย และระหว่างความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกากลางและประเทศมาลี” เอกสารดังกล่าวยังอ้างอีกว่า “เป็นเวลาหลายปีแล้วที่รัสเซียให้การสนับสนุนและสนับสนุนทางการเงินแก่ระบอบการปกครองและองค์กรก่อการร้าย โดยเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับระบอบการปกครองของ ในดินแดนของตนเอง รวมทั้งการวางยาพิษของตระกูล “สกริปาล” (Skripal) ในสหราชอาณาจักร การวางยาพิษ นายอเล็กเซย์ นาวาลนึย«Алексей Навальный» และการวางระเบิดคลังกระสุนในสาธารณรัฐเช็กในปี ค.ศ. 2014” ซี่งสมาชิกรัฐสภายุโรปให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่ารัสเซียเป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย”

ทั้งนี้ เอกสารการลงมติฯ ระบุอย่างชัดเจนว่าสหภาพยุโรปไม่มีกลไกทางกฎหมายที่เหมาะสมในการจัดการกับ”รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย”  การดำเนินการจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ ซึ่งพบว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐสภาของลิทัวเนีย ลัตเวียและเอสโตเนีย วุฒิสภาของโปแลนด์ ตลอดจนรัฐสภาของสภายุโรป มีมติเห็นชอบกับการประกาศให้รัสเซียเป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” หรือเป็น “ระบอบการปกครองของผู้ก่อการร้าย” อย่างไรก็ตามหากไม่มีกรอบกฎหมายที่เหมาะสม ตราสารเหล่านี้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” «государство—спонсор терроризма»  ได้รับการยอมรับโดยสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น  ในสหรัฐฯ มีรายชื่อประเทศที่ถูกกำหนดให้เป็นรัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้ายจำนวน  4 ประเทศได้แก่ ซีเรีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และคิวบา ในขณะที่แคนาดาประเทศที่ถูกกำหนดให้เป็นรัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้ายมีเพียงแค่  2 ประเทศ ได้แก่ ซีเรียและอิหร่าน  ซึ่งในกฎหมายของสหรัฐฯและแคนาดา การถูกกำหนดสถานะให้เป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” นั้นหมายถึงการหยุดความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดาและประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง โดยรัฐสภายุโรปเชื่อว่าสหภาพยุโรปและสมาชิกจำเป็นต้องบรรจุแนวคิดดังกล่าวไว้ในกรอบกฎหมายของสหภาพยุโรป  ในความเห็นของพวกเขามองว่าสิ่งนี้จะทำให้สามารถนำการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดมาใช้ต่อประเทศที่ “ใช้วิธีการของผู้ก่อการร้าย” และจำกัดความสัมพันธ์ของสหภาพยุโรปและสมาชิกกับพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ โดยสมาชิกสภายุโรปพิจารณาว่ารัสเซียเป็นประเทศแรกที่ถูกจัดให้อยู่ในสถานะดังกล่าว โดยพวกเขายืนกรานที่จะรวมเอา Wagner PMC และ “กลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ที่รัสเซียให้การสนับสนุน” เอาไว้ในรายชื่อองค์กรก่อการร้ายของยุโรปด้วย นอกจากนี้ สมาชิกสภายุโรปยังเรียกร้องให้สหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกแต่ละรัฐส่งเสริมการจัดตั้ง “ศาลระหว่างประเทศเพื่อสอบสวนคดีอาชญากรรมของรัสเซียในยูเครน” และ “กลไกที่ครอบคลุมสำหรับการชดเชยความเสียหายในยูเครน” รวมถึงเสนอข้อเสนออื่น ๆ เช่น การเรียกร้องให้ขับเอกอัครราชทูตรัสเซียออกจากเมืองหลวงของยุโรป และยุติการติดต่อทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรากฎอยู่ในเอกสารการลงมติฯ ดังกล่าว

นายอีวาน ทิโมเฟเยฟ «Иван Тимофеев ผู้อำนวยการของ  “สภากิจการระหว่างประเทศของรัสเซีย” «Российский совет по международным делам: РСМД »ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “มติของรัฐสภายุโรปเป็นเพียงแค่การประกาศทางการเมืองรูปแบบหนึ่งเท่านั้น  หน่วยงานด้านการบริหารของสหภาพยุโรปและโครงสร้างระดับชาติควรรับฟัง แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม… แม้ว่ามติดังกล่าวจะไม่มีลักษณะผูกพันทางกฎหมายแต่ก็อาจกลายเป็นกรอบหรือพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจของสหภาพยุโรปหรือประเทศสมาชิกในอนาคตได้” และ “ไม่มีกฎที่ว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัสเซียจะต้องตอบโต้ต่อการลงมติที่เสนอโดยรัฐสภายุโรปด้วยการออกเอกสารที่มีทิศทางเดียวกัน” และเขาเชื่อว่า “ทั้งหมดนี้จะไม่นำไปสู่การยุติความขัดแย้งในยูเครน แต่จะยิ่งซ้ำเติมการเผชิญหน้าระหว่างตะวันตกและรัสเซีย”

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เคยเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทางการสหรัฐฯ รับรองสหพันธรัฐรัสเซียว่าเป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย”  และวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็เคยเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอชื่อรัสเซียเป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม และวันที่ 12 พฤษภาคม ปีค.ศ. 2022 ตามลำดับ แต่ทางเจ้าหน้าที่รัสเซียเตือนว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่ “การตอบโต้ที่รุนแรงที่สุด” จากทางมอสโก ทำให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ  ไบเดน พิจารณาว่ามาตรการนี้ไม่จำเป็นและเต็มไปด้วยผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้ และตอบโต้ว่าทางสหรัฐฯ ได้มีการใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และมาตรการเหล่านั้นได้ทวีความเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

ในขณะที่ทางกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียก็ได้พิจารณาถึงแนวคิดในการยอมรับว่ายูเครนเป็น “รัฐผู้ก่อการร้าย”  โดยก่อนหน้านี้นาย เซอร์เกย์ มิโรนอฟ «Сергей Миронов» ผู้แทนราษฎรหัวหน้าพรรค “รัสเซียยุติธรรม – เพื่อความจริง” «Справедливая Россия —За правду» ได้ยื่นร่างกฎหมายเพื่อกำหนดสถานะดังกล่าวแก่สภาดูมาของรัสเซีย โดยกล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่าวันนี้กองทัพยูเครนในพื้นที่ชายแดนติดกับรัสเซีย, สาธารณรัฐโดเนสต์, สาธารณรัฐลูฮันส์, และดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยของยูเครน กำลังดำเนินการที่มีสัญญาณทั้งหมดของการก่อการร้าย” “กองทัพยูเครนจงใจโจมตีพลเรือนและการตั้งถิ่นฐานอย่างจงใจ ด้วยเหตุนี้ส่งผลทำให้จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน” นายมิโรนอฟและพรรคพวกเชื่อว่าจำเป็นต้องบรรจุแนวคิดเรื่อง “รัฐก่อการร้าย” และ “รัฐสนับสนุนการก่อการร้าย” ไว้ในกฎหมายของรัสเซีย พร้อมทั้งเสนอที่จะกำหนดให้กลุ่มประเทศนาโต้อยู่ใน สถานะของ “รัฐสนับสนุนการก่อการร้าย”  ซึ่ง”ไม่เพียงแต่จัดหาอาวุธให้กับผู้ก่อการร้ายยูเครนเท่านั้น แต่ยังให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคทางทหารจำนวนมากแก่พวกเขาด้วย”  โดยร่างกฎหมายดังกล่าวระบุว่า “รัฐผู้ก่อการร้าย” และ “รัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย”  รัสเซีย “ควรจะทำลายความสัมพันธ์ทางการทูตทั้งหมด” และ “ควรยึดและเปลี่ยนทรัพย์สินที่เป็นของพลเมืองของประเทศนั้น ๆ ให้เป็นรายได้ของสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อชดเชยความเสียหายทางวัตถุต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของรัฐผู้ก่อการร้าย”

อย่างไรก็ตาม นายอิวาน  เนชาเยฟ «Иван Нечаев» รองผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลและข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงต่างประเทศรัสเซียมองว่าแนวคิดดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสม เนื่องจากรัสเซียต่อต้านแนวคิดเรื่อง “รัฐผู้ก่อการร้าย” มาโดยตลอด  เนื่องจาก“หลายประเทศใน “กลุ่มตะวันตก” มีความพยายามใช้แนวคิดเรื่อง “รัฐผู้ก่อการร้าย” “ระบอบการปกครองของผู้ก่อการร้าย” รวมถึง “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” เพื่ออ้างถึงประเทศที่ตนเอง “’ไม่พึงปรารถนา” ที่ไม่ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่บิดเบี้ยวของพวกตน  เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับมาตรการบังคับฝ่ายเดียวที่ขัดต่อหลักการความเสมอภาคของอธิปไตยและการไม่แทรกแซงกิจการภายในที่กำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ  จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่ในบริบทของสงครามลูกผสม (hybrid warfare)ทีกำลังดำเนินอยู่นี้  ข้อหา“รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” ของทางฝ่ายตะวันตกจึงถูกยัดเยียดให้กับประเทศรัสเซียของเรา และมองว่าการลอกเลียนแนวทางของรัฐที่เป็นศัตรูของเรา โดยการดำเนินรอยตามแนวคิดการบัญญัติกฎหมายดังกล่าวตามแนวทางของตะวันตกนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาด

จากที่เล่ามาทั้งหมดนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า มาตรการกล่าวหาว่ารัสเซียเป็น รัฐสนับสนุนก่อการร้ายของรัฐสภายุโรปจะส่งผลอย่างไรต่อรัสเซีย และรัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างไร

 ซึ่งรวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยใน

You may also like

เจาะลึกเส้นทาง“ทองคำ” โลหะล้ำค่าใต้ผืนดิน แร่สำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก

เจาะลึกเ