สกสว.ผนึกกำลัง ดันไทยเป็น ‘ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ’

สกสว.ผนึกกำลัง ดันไทยเป็น ‘ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ’

สกสว.ผนึกกำลัง

ดันไทยเป็น ‘ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ’

    สกสว. จับมือ ทปอ. บพค. และภาคีเครือข่าย เร่งพัฒนากำลังคนและสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ‘ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ’ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลพันธุกรรมและการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ บริการ และธุรกิจแห่งอนาคต

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ คณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรม ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และสถาบันอุดมศึกษาในเครือข่ายที่มีความพร้อมในการพัฒนางานวิจัยด้านชีวสารสนเทศ จัดประชุมภาคีเครือข่ายวิจัยชีวสารสนเทศ และเชื่อมโยงนักชีวสารสนเทศของประเทศไทย รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปี พ.ศ. 2566 Thailand Bioinformatics Research Network (TBRN 2023) : Talent Pool and Stakeholder Engagement เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องจีโนมิกส์ โครงการวิจัยด้านสุขภาพ เพื่อรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ของคนไทย เพื่อให้นักวิจัยใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการศึกษาวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับสุขภาพของคนไทย ทำให้ประชาชนได้รับการวินิจฉัย การรักษาอย่างจำเพาะและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) และ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยด้านจีโนมิกส์  ทั้งใน และต่างประเทศ กว่า 200 คน เข้าร่วมการประชุม

โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล กล่าวว่า การดำเนินงานของแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการร่วมผลักดันแผนฯ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดบริการ การรักษาที่มีความแม่นยำสูง การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและการให้บริการการแพทย์จีโนมิกส์จึงมีความจำเป็น ทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของอาสาสมัครไทยภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย และการพัฒนาระบบชีวสารสนเทศ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรค การออกแบบแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพ การทำนายโอกาสการเกิดโรค รวมไปถึงการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านจีโนมิสก์และชีวสารสนเทศให้เพียงพอ และเชื่อมั่นว่าการจัดตั้ง “ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ” นั้น จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านชีวสารสนเทศของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ กล่าวเน้นย้ำถึงการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริม ววน. ว่า ได้จัดสรรงบประมาณ 2000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการ genomics Thailand เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์ในประเทศไทย และสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นท้าทายหลายประการที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านจีโนมิกส์ การขาดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน การขาดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่รองรับการวิจัยด้าน genomics เป็นต้น จึงได้เกิดการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ร่วมกับ ทปอ. สกสว. บพค. จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรจัดตั้ง “ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ” ของประเทศไทย เพื่อรวบรวมผู้เชี่ยวชาญ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง การผลักดันการกำหนดมาตรฐานข้อมูล genomics ระดับประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในภาคการผลิตและภาคบริการ

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล กล่าวถึงการดำเนินงานของ “แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย ว่า นับตั้งแต่ปี2563 เป็นต้นมา สกสว.ได้จัดสรรงบประมาณด้าน ววน. ให้มีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย ซึ่งเน้นการสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมคนไทยจำนวน 50,000 ราย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการแพทย์ สาธารณสุข และการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพของประชาชน โดยมีการส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลพันธุกรรมและการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ บริการ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกองทุนส่งเสริม ววน. ได้เน้นพัฒนาการวิจัยในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ในกลุ่มโรคต่างๆ ได้แก่ มะเร็ง โรคหายาก โรคติดเชื้อ โรคไม่ติดต่อ และโรคแพ้ยา โดยให้ความเห็นว่าความท้าทายสำคัญในปัจจุบันของประเทศไทยด้านชีวสารสนเทศ คือ การผลักดันส่งเสริมในด้านการพัฒนาบุคลากรด้านชีวสารสนเทศ ตลอดจนนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยทางพันธุศาสตร์ที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยในอนาคต

สำหรับการดำเนินการด้านจีโนมิกส์ในปัจจุบัน ดำเนินการโครงการสำคัญในมิติต่าง ๆ  อาทิ โครงการการศึกษาพันธุศาสตร์ จีโนมระดับประชากร จำนวน 50,000 คน การสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมอ้างอิงของไทย เพื่อต่อยอด งานวิจัยและบริการด้านการแพทย์จีโนมิกส์ และ การศึกษากลุ่มผู้ป่วยหลายกลุ่มโรคที่สามารถศึกษาระยะยาวแบบไปข้างหน้า ฯ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้าน Genomic medicine ระดับอาเซียน ภายใน 5 ปี อีกทั้งให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้าน Genomic medicine อย่างมีคุณภาพต่อไป

You may also like

เปิดตัวดัชนีชี้วัดความปลอดภัยของเด็ก บนโลกออนไลน์ทั้งในระดับชาติและระดับโลก

เปิดตัวด