สงครามการค้าเข้มข้น! “สหรัฐ-ยูโรโซน”ไม่สู้ดี-จีนเร่งกระตุ้นการบริโภค เศรษฐกิจไทยลุ้นตัวเกร็ง นักท่องเที่ยวจีนวูบ

สงครามการค้าเข้มข้น! “สหรัฐ-ยูโรโซน”ไม่สู้ดี-จีนเร่งกระตุ้นการบริโภค เศรษฐกิจไทยลุ้นตัวเกร็ง นักท่องเที่ยวจีนวูบ

สงครามการค้าเข้มข้น!

“สหรัฐ-ยูโรโซน”ไม่สู้ดี-จีนเร่งกระตุ้นการบริโภค

เศรษฐกิจไทยลุ้นตัวเกร็ง นักท่องเที่ยวจีนวูบ

เศรษฐกิจโลก

สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงสร้างความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนในระยะข้างหน้า ขณะที่จีนหันมาเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

สหรัฐ

เฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในเดือนนี้ แต่สัญญาณความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีมากขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่ง จาก 125,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ส่วนอัตราการว่างงานขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 4.1% จากเดือนก่อนที่ 4.0% ในขณะที่ค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 4.0% YoY จาก 3.9%

จากการขยายตัวของการจ้างงานและความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้า รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ เริ่มเด่นชัดขึ้นสะท้อนผ่านตัวเลขการบริโภค ภาคบริการ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค สถานการณ์ดังกล่าวอาจรุนแรงมากขึ้นในปีนี้เมื่อพิจารณาจากภาวะการเงินที่ตึงตัว สะท้อนผ่านยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น ยอดการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นโยบายการค้ายังเพิ่มความเสี่ยงด้านขาลง (Downside risk) ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นบางชี้ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้

ยูโรโซน

ECB ลดดอกเบี้ย พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ยูโรโซนลงเพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.50% เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% พร้อมปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนปี 2568 และ 2569 ลงสู่ระดับ 0.9% และ 1.2% ตามลำดับ

เงินยูโรแข็งค่าแรงจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกมากขึ้นในระยะสั้นหลังพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมนีได้ตกลงที่จะปฏิรูปข้อจำกัดด้านการกู้ยืมของรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 5 แสนล้านยูโร อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าวภายใต้ข้อถกเถียงทางการเมืองรวมถึงข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลผสม ขณะที่การส่งสัญญาณของ ECB ภายหลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ยังคงสะท้อนภาพของเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนแอ รวมถึงความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 และ 2569

จีน

จีนคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ไว้ที่ราว 5% และมุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับปี 2567 (ดังตาราง) แต่เพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณ และการออกพันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้สอดรับกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่เปลี่ยนจาก “ระมัดระวัง” เป็น “ผ่อนคลายปานกลาง” นอกจากนี้ รัฐบาลเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นเป้าหมายหลักในปีนี้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายในปีที่ผ่านมาที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูง

ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลจีนในการประชุมสองสภาแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ราว 5% ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า โดยเน้นสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภค ทั้งการให้เงินอุดหนุน การคุ้มครองผู้บริโภค และการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง หากมาตรการดังกล่าวสัมฤทธิผลในระดับหนึ่ง ภาคอุตสาหกรรมที่ยังเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินก็จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่คาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อเสถียรภาพในค่าเงินหยวน

เศรษฐกิจไทย

อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาสสอง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเผชิญปัจจัยท้าทายจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงมาก

อัตราอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 คาดอาจต่ำกว่ากรอบในระยะถัดไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 1.08% YoY ชะลอลงจาก 1.32% ในเดือนมกราคม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาอาหารสดในกลุ่มผักสดที่ลดลงตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่  0.99% เพิ่มขึ้นจาก 0.83% ในเดือนมกราคม สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.20% และ 0.91% ตามลำดับ

แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดจะชะลอลงมาเล็กน้อยแต่คาดว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะยังอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ติดลบในช่วงไตรมาสแรกของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายได้ช่วงไตรมาส 2 หลังจากสิ้นสุดผลของฐานที่ต่ำ ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีก่อนหน้าทำให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับลดลงในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีแนวโน้มดำเนินมาตรการบรรเทาค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง และปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรที่อาจเข้าสู่ตลาดมากขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก สำหรับทั้งปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1% ซึ่งใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ 1-3%

จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเร็วกว่าคาด อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในปีนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งสิ้น 3.12 ล้านคน ลดลงจาก 3.71 ล้านคน ในเดือนมกราคม และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -7% แต่ยังสามารถสร้างรายได้ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% YoY ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ มาเลเซีย จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 6.83 ล้านคน ขยายตัว 6.9% YoY สร้างรายได้ 3.32 แสนล้านบาท ขยายตัว 17%

การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนมีสัญญาณอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เหลือ  371,452 คน และหดตัวสูง 44.9% YoY ทำให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวจีน 1.18 ล้านคน หดตัว 12.6% YoY ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงแรงและยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดอยู่มาก ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นจากจุดหมายปลายทางในประเทศอื่นๆ ที่มีมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวหลักจากมาเลเซีย รัสเซีย และอินเดีย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยโดยรวมในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 38 ล้านคน สูงกว่า 35.5 ล้านคน ในปี 2567 แม้จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน แต่คาดว่าภาคท่องเที่ยวจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568

 

You may also like

AI มาทำงานแทนคนเป็นเรื่องจริง

AI มาทำง