หายนะจากน้ำหลากแรง ที่ต้นน้ำยม
ณรงค์ ปานนอก
นับจากวันที่ 21 สิงหาคมเป็นต้นมา เกิดสถานการณ์ฝนตกน้ำท่วมหนักและรุนแรงในจังหวัดเชียงราย น่านและพะเยา สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนไกลเมืองหลวงจำนวนหนึ่ง
ที่เชียงรายและน่านยังพอทำเนา เนื่องจากหน่วยงานของรัฐมีกำลังอุปกรณ์ช่วยเหลือพรักพร้อม อีกทั้งพื้นที่บริเวณกว๊านพะเยาก็ยังไม่รุนแรง เพราะมีหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยอยู่ในเมืองสามารถช่วยได้ทัน
แต่….แต่ที่ต้นน้ำยม ซึ่งเป็นต้นน้ำสายหลักสายเดียวที่ไม่มีเขื่อนหรืออ่างพอสกัดกักเก็บน้ำเพื่อชะลอการไหลหลากของมวลน้ำก้อนใหญ่ได้ ทำให้พนังหินกราเบรียลตามแนวยาวของต้นน้ำยมที่กรมโยธาธิการสร้างเสร็จใหม่ๆ ก็ถูกมวลน้ำจากต้นน้ำถาโถมไหลข้ามกำแพงพนังหินแบบจมหายไปกับกระแสน้ำ ( วันนี้ฝนยังตกไม่หยุด – 24 สิงหาคม )
สะพานเกือบสิบแห่ง จึงไม่รอดจากน้ำท่วม ตัดขาดระหว่างอำเภอกับหมู่บ้านหลายจุด
ที่เหลือเชื่อ คืออำเภอปง ซึ่งเป็นอำเภอต้นน้ำยมแท้ๆ กลับไม่มีอุปกรณ์ที่สำคัญในยามวิกฤติน้ำหลาก คือ เรือท้องแบน ทั้งๆที่ยามฝนตกหนักตรงต้นน้ำแห่งนี้ จึงถูกกระทบจากกระแสน้ำหลากแรงก่อนพื้นที่อื่นๆ
เมื่อถึงนาทีวิกฤติ เจ้าหน้าที่จึงไม่มีเรือท้องแบนออกไปช่วยชาวบ้านได้ทันเวลา
นี่คือความเศร้าของอำเภอที่ห่างไกลจากตัวเมืองมากถึง 80 กิโลเมตร
เป็น “อำเภอหลังเขา” อำเภอที่หน่วยงานส่วนกลางมักไม่ให้ความสำคัญ จึงไม่มีใครเหลียวแล
ทั้งๆที่รู้ว่า ที่นั่น คือต้นน้ำสายหลักของประเทศ เหมือน ปิง วังและน่าน เป็นต้นน้ำที่ควรจะมีแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ เพื่อช่วยบูรณาการเกษตรกรทั้งระบบ ( เพราะเป็นพื้นที่เอียงเทสูง เมื่อน้ำหลากมาและไหลลงไปพื้นที่ส่วนล่าง ก็ทำให้บนที่สูงไม่มีน้ำเก็บใช้ในฤดูแล้ง )
และนับจากวันนี้ไป คนไทยก็คอยฟังข่าวว่า เกิดน้ำท่วมใหญ่ ( ไหลมาจากต้นน้ำนี่แหละ )ในจังหวัดตอนล่าง อย่างจังหวัดแพร่ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก ลงถึงอ่างทอง อยุธยา และมาสู่นนทบุรี ปทุมธานี เข้าถึงเมืองหลวง สร้างความเสียหายแบบเงียบๆงงๆ( ไม่มีหน่วยไหนกล้าคำนวณมูลค่า )
ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่า คือ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ ก็ขยันไปทำโครงการเก็บน้ำขนาดใหญ่ๆอยู่ตามจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมด้านล่าง ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ถูกทาง
โดยลืมไปว่า มวลน้ำก้อนใหญ่จริงๆ อยู่ที่บริเวณต้นน้ำ ซึ่งควรจะไปทำอ่าง หรือแหล่งกักเก็บที่ต้นน้ำโน่น เมื่อถึงหน้าแล้ง ก็จะได้ค่อยๆปล่อยน้ำลงมาช่วยเกษตรกรตามลำน้ำปกติ โดยน้ำจะไม่ขาดแคลนทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
แต่ถ้ายังขืนคิดแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ขาดกระบวนทัศน์ใหม่ๆ เราก็จะเห็นความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้เรื่อยไป ซึ่งหากสะสมมูลค่าความเสียหายหลายสิบปีมารวมกัน มันก็มากมายมหาศาล
น่าจะเท่าๆงบประมาณของประเทศแต่ละปี ได้แล้วมั้ง ???
Social Links