เกิดอะไรขึ้น!!เศรษฐีมะกันย้ายหนีประเทศตัวเองมากขึ้น
ส่วนเศรษฐีโลกหนีห่าง เข้าอเมริกาน้อยลง
กระแสน้ำกำลังเปลี่ยนทิศในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ก่อร่างสร้างตัวโดยผู้อพยพรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากทั่วโลก และลูกหลานได้ร่วมกันสร้างตลาดความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก พลวัตใหม่กำลังเกิดขึ้นในปี 2566 โดยชาวอเมริกันผู้มั่งคั่งกำลังแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าเดิมในต่างประเทศในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ รายงานความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา (USA Wealth Report) ฉบับแรก ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) ร่วมกับบริษัทข้อมูลความมั่งคั่ง นิวเวิลด์เวลท์ (New World Wealth) ยังระบุด้วยว่า สหรัฐอเมริกากำลังสูญเสียความน่าดึงดูดใจในหมู่เศรษฐีที่กำลังต้องการย้ายถิ่นฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า “ความฝันแบบอเมริกัน” (American Dream) กำลังสิ้นมนต์ขลัง
รายงานยังเผยให้เห็นว่า ในสหรัฐอเมริกากำลังมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWI) โดยเมืองต่าง ๆ เช่น ออสติน สกอตส์เดล กรีนิช และไมอามี กำลังมีเศรษฐีเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมืองใหญ่ที่มั่งคั่งอย่างลอสแอนเจลิส ชิคาโก และมหานครนิวยอร์ก กลับมีเศรษฐีลดลง
ซึ่งรายงานความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2566 ประกอบด้วยผลการวิจัยและข้อมูลใหม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการพิจารณาความมั่งคั่งของอเมริกาอย่างครบถ้วนรอบด้าน ได้แก่ เทรนด์ในหมู่ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง ข้อมูลสถิติความมั่งคั่งของเมือง รูปแบบการย้ายถิ่นฐานของเศรษฐี รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนหลักและผู้สร้างความมั่งคั่ง ข้อมูลดังกล่าวเผยให้เห็นว่า เศรษฐีทั่วโลกไหลเข้าอเมริกาลดลงอย่างชัดเจนในปี 2565 เหลือเพียง 1,500 คน เทียบกับช่วงปี 2556-2562 ที่เศรษฐีทั่วโลกไหลเข้าอเมริการะหว่าง 6,400-10,800 คนต่อปี
ส่วนการไหลออกของผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงนั้น เมห์ดี คาดีรี (Mehdi Kadiri) หัวหน้าประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือของเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส เปิดเผยว่า มีพลเมืองอเมริกันเข้ามาสอบถามข้อมูลจากบริษัทมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 (พุ่งขึ้น 447% จากปี 2562) และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันสมัครเข้าร่วมโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานและขอสัญชาติมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนสัญชาติอื่นทั่วโลก “เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุนในสหรัฐอเมริกา เฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ได้เปิดสำนักงานในอเมริกาสามแห่ง ในศูนย์กลางความมั่งคั่งอย่างลอสแอนเจลิส ไมอามี และมหานครนิวยอร์ก”
การเปรียบเทียบความมั่งคั่งส่วนบุคคลของอเมริกา
สหรัฐอเมริกาคือตลาดความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 32% ของความมั่งคั่งทั่วโลก และครองสัดส่วน 36% ของเศรษฐีเงินดอลลาร์ทั่วโลก นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองแห่ง (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและแนสแด็ก) รวมทั้งเป็นที่ตั้งของบริษัท 9 แห่งที่ติด 10 อันดับบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ยิ่งไปกว่านั้น แค่ความมั่งคั่งในมหานครนิวยอร์กเพียงแห่งเดียวก็เหนือกว่าประเทศในกลุ่ม G20 ส่วนใหญ่แล้ว
ในรายงานความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา เจฟฟ์ ดี. ออปไดค์ (Jeff D. Opdyke) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับแนวหน้าของโลกและผู้เขียนบทความเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ความไม่สงบทางสังคมและการเมือง และชนชั้นกลางที่ลดลงอย่างรวดเร็ว กำลังทำให้ชาวอเมริกันผู้มั่งคั่งย้ายถิ่นฐานหรือสละสัญชาติมากเป็นประวัติการณ์ “ในท้ายที่สุดแล้ว ชนชั้นผู้บริโภคใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นในประเทศนอกซีกโลกตะวันตกจะมีจำนวนมากกว่าผู้บริโภคในโลกตะวันตกถึงสามพันล้านคนหรือมากกว่านั้น ความฝันแบบอเมริกันกำลังสิ้นมนต์ขลังในบ้านเกิด แต่กำลังเกิดใหม่ในชนชั้นผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงคนกลุ่มนี้อาจหมายความว่าคุณต้องก้าวออกจากพรมแดนอเมริกาและพาครอบครัวไปตั้งรกรากที่อื่น”
เมืองที่มั่งคั่งที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา
มหานครนิวยอร์กครองตำแหน่งเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา (และในโลก) โดยมีเศรษฐี 340,000 คน ตามมาด้วยเขตอ่าวซานฟรานซิสโก (285,000 คน), ลอสแอนเจลิส (205,400 คน), ชิคาโก (124,000 คน) และฮิวสตัน (98,500 คน)
สำหรับศูนย์กลางความมั่งคั่งที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกานั้น พบว่ามีห้าเมืองที่จำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในทศวรรษที่ผ่านมา นำโดยเมืองออสตินซึ่งมีจำนวนเศรษฐีพุ่งขึ้น 102% ระหว่างปี 2555-2565 และปัจจุบันเมืองนี้มีจำนวนผู้มีความมั่งคั่งมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ราว 30,500 คน ตามมาด้วยเมืองเวสต์ปาล์มบีช ซึ่งมีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้น 90% (มีเศรษฐี 9,400 คน), สกอตส์เดลเพิ่มขึ้น 88% (มีเศรษฐี 13,900 คน), ไมอามีเพิ่มขึ้น 75% (มีเศรษฐี 38,000 คน), กรีนิชและดาเรียนเพิ่มขึ้น 72% (มีเศรษฐี 11,900 คน)
Social Links