เงินบาทผันผวนในกรอบอ่อนค่า แต่ดัชนีหุ้นไทยยังขยับขึ้น
……………………….
• เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าในช่วงก่อนการประชุมนโยบายการเงินของเฟด 26-27 ก.ค. นี้
• หุ้นไทยดีดตัวกลับมาได้ช่วงปลายสัปดาห์ โดยมีแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังการรายงานผลประกอบการ
………………………..
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ แต่ยังคงมีแรงกดดันด้านอ่อนค่า โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกดดันเงินดอลลาร์ฯ ให้อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงต่อมาตามทิศทางค่าเงินหยวน แรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ของผู้นำเข้าในช่วงสิ้นเดือน และแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงก่อนการประชุมเฟด (ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย อย่างต่อเนื่อง) และยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลัง IMF ปรับลดตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2565-2566 ลงมาที่ 3.2% และ 2.9% ตามลำดับ
ตลอดสัปดาห์ เงินบาทแกว่งตัวผันผวนอยู่ในกรอบประมาณ 36.62-36.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟดเพื่อประเมินแนวโน้มและขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี
ในวันพุธที่ 27 ก.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 36.80 เทียบกับระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 ก.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 25-27 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4,376 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 1,921 ล้านบาท
สัปดาห์ถัดไป (1-5 ส.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 36.00-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ค. ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางออสเตรเลีย รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน อังกฤษ และยูโรโซนด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นก่อนผลการประชุมเฟด ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อหุ้นในกลุ่มแบงก์ซึ่งได้รับอานิสงส์จากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ออกมาค่อนข้างดี ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวและอัตราดอกเบี้ยในประเทศน่าจะมีการทยอยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดีแรงเทขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันกดดันตลาดช่วงสั้นๆ ในเวลาต่อมา แต่ดัชนีหุ้นไทยกลับมาปรับขึ้นอีกครั้งในวันทำการสุดท้ายของเดือนก.ค. นำโดย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขานรับผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งออกมาดีกว่าคาด
ในวันพุธ (27 ก.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,576.41 จุด เพิ่มขึ้น 1.53% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 58,611.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.39% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.01% มาปิดที่ 581.46 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (1-5 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,550 และ 1,535 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,585 และ 1,600 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ผลประกอบการงวด 2Q/65 ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงสถานการณ์โควิด ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนก.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน การประชุม BOE รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิตและยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ของยูโรโซน
Social Links