เงินบาทอ่อนค่าลง ดัชนีหุ้นไทยทรงตัว
จับตาตัวเลขเงินเฟ้อไทย ทิศทางราคาทองคำตลาดโลก
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
- เงินบาทพลิกแตะระดับอ่อนค่าสุดรอบกว่า 1 เดือน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างแคบก่อนการประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ แต่เริ่มทยอยอ่อนค่าลงในช่วงกลางสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นและบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น หลังผลการประชุมเฟดสะท้อนว่า เฟดจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (โอกาสการลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนก.ย. ลดลง) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด อาทิ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค. และดัชนีราคา Core PCE ที่ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. (ตลาดคาดที่ 2.7%)
เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์ แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับทิศทางอ่อนค่าของสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อ หลังความกังวลต่อผลกระทบของภาษีสินค้านำเข้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงบางส่วน หลังการเปิดเผยภาษี Tariffs อัตราใหม่ที่เริ่มมีผล 1 ส.ค. นี้ ซึ่งส่วนใหญ่ต่ำกว่าอัตราที่ประกาศเมื่อ 9 เม.ย.
ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (25 ก.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 28 ก.ค.-1 ส.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,775 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,855 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 1,847 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 8 ล้านบาท)
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 4-8 ส.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.30-33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. ดัชนี PMI/ISM ภาคบริการเดือนก.ค. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนก.ค. อาทิ ตัวเลขการส่งออก ด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
- ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงช่วงท้ายสัปดาห์ หลังรับรู้ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงต้น-กลางสัปดาห์ โดยยังคงมีแรงหนุนต่อเนื่องจากความหวังเกี่ยวกับผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ เนื่องจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างอียูและสหรัฐฯ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ตลาดประเมินว่า ไทยน่าจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทันก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อหุ้นทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นได้ช่วงสั้น ๆ ไปแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 5 เดือนที่ 1,255.39 จุดในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนจะพลิกปรับตัวลงตามแรงขายทำกำไรในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เทคโนโลยีและแบงก์ หลังตลาดรับรู้ข่าวที่ไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และอัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงมาเหลือ 19% ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้การปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยยังสอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,218.33 จุด เพิ่มขึ้น 0.10% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 53,695.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.35% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.47% มาปิดที่ระดับ 249.41 จุด
สำหรับสัปดาห์นี้(4-8 ส.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,200 และ 1,190 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,230 และ 1,255 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบจ.ไทย ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการบริการเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ของจีน
Social Links