เงินบาทอ่อน-หุ้นร่วงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 5

เงินบาทอ่อน-หุ้นร่วงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 5

เงินบาทอ่อน-หุ้นร่วงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 5

…………………………………….

  • เงินบาทกลับมาอ่อนค่าท่ามกลางสัญญาณพร้อมคุมเข้มต่อเนื่องจากประธานเฟด หากข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเงินบาทฟื้นตัวได้เล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
  • SET Index ปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย แม้จะมีปัจจัยบวกจากการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อไทยในช่วงต้นสัปดาห์

……………………………………..

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

เงินบาทกลับมาอ่อนค่าท่ามกลางสัญญาณพร้อมคุมเข้มต่อเนื่องจากประธานเฟด ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ ก่อนจะกลับมาอ่อนค่าลงตามทิศทางสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ จากสุนทรพจน์ของประธานเฟด ซึ่งสะท้อนว่า เฟดจะยังคงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตลาดการเงินทยอยกลับมาประเมินโอกาสที่เฟดจะกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม FOMC เดือนมี.ค. นี้อีกครั้ง ขณะที่มีความไปได้มากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่สะท้อนจาก dot plot ใหม่ของเฟดจะสูงขึ้นกว่าที่เคยให้ไว้เดิม

อย่างไรก็ดี แรงขายเงินบาทชะลอลงบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ หลังตลาดปรับตัวรับสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินจากประธานเฟดไปมากแล้ว ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงรอปัจจัยใหม่มากระตุ้น โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร และตัวเลขตลาดแรงงานอื่นๆ ในเดือนก.พ. ของสหรัฐฯ

ในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (3 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 6-10 มี.ค. นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 10,381 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สองที่ 9,157 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 10,147 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 990 ล้านบาท)

สัปดาห์นี้(13-17 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.50-35.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม ECB ทิศทางเงินลงทุนของต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนก.พ. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์จากมุมมองผู้บริโภค ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ ยอดค้าปลีก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนม.ค.-ก.พ. เช่นกัน

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงหลุดกรอบ 1,600 จุด ทั้งนี้ หุ้นไทยดีดตัวขึ้นในช่วงแรก โดยมีแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.พ. ของไทยที่ชะลอตัวลงและแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน ก่อนจะร่วงลงในเวลาต่อมาโดยถูกกดดันจากถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าคาดเพื่อคุมเงินเฟ้อ โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงแรง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน แบงก์และไฟแนนซ์ อย่างไรก็ดีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วงสั้นๆระหว่างสัปดาห์ โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยหนุน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง จากความคาดหวังเรื่องแนวโน้มธุรกิจ อนึ่งนักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยในสัปดาห์นี้

ในวันศุกร์ (10 มี.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,599.65 จุด ลดลง 0.45% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 56,404.50 ล้านบาท ลดลง 11.61% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.50% มาปิดที่ระดับ 560.13 จุด

               สำหรับสัปดาห์นี้(13-17 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,590 และ 1,575 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,620 และ 1,630 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และประเด็นการเมืองภายในประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.พ. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

 

You may also like

“กรุงเทพฯ”ไต่อันดับ ดัชนีเมืองระดับโลกปี 2025 ท่ามกลางความผันผวนเศรษฐกิจโลก

“กรุงเทพ