เงินบาทอ่อน-หุ้นไทยร่วงแรง ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ กย.
…………………………………..
• เงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปี ตามกระแสการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียท่ามกลางสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายเพื่อปรับโพสิชันและทำกำไรในช่วงก่อนสิ้นไตรมาส
• SET Index ร่วงลงแรงหลุดแนว 1,600 จุด ปิดต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ท่ามกลางความกังวลว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงไทย จะกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
…………………………………….
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 38.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีหลังการประชุมกนง. แต่ฟื้นตัวกลับมาบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทเผชิญแรงขายตามแรงกดดันของค่าเงินหยวน (อ่อนค่าสุดในรอบ 14 ปี) และสกุลเงินในภูมิภาคท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นตามบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ รับสัญญาณแนวโน้มการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทชะลอลงบางส่วนหลังการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางอังกฤษ และการเข้าดูแลค่าเงินหยวนของธนาคารกลางจีน ที่กระตุ้นให้เกิดแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชันและทำกำไรก่อนช่วงปิดสิ้นไตรมาส
ทั้งนี้ คงต้องติดตามสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในฝั่งขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ สำหรับท่าทีต่อค่าเงินบาทนั้น สัญญาณจากธปท. สะท้อนว่า จะดูแลในช่วงที่การเคลื่อนไหวของเงินบาทผันผวนผิดปกติ แต่ก็จะต้องไม่ฝืนทิศทางตลาด
ในวันศุกร์ที่ 30 ก.ย. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีที่ 38.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงหลังการประชุมกนง. เทียบกับระดับ 37.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 ก.ย.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ย. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 7,148 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflow ออกจากตลาดพันธบัตรประมาณ 22,629 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 22,379 ล้านบาท และตราสารหนี้ที่หมดอายุ 250 ล้านบาท)
สัปดาห์นี้(3-7 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 37.50-38.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของไทย กระแสเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ย. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลียและธนาคารกลางนิวซีแลนด์ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของยูโรโซน รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ย. ของญี่ปุ่น อังกฤษและยูโรโซน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวลงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ตามแรงเทขายหลักจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก จากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะเฟด ขณะที่กนง.ก็มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมช่วงกลางสัปดาห์ พร้อมปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวกระตุ้นแรงขายหุ้นบิ๊กแคปในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ไฟแนนซ์ และแบงก์
ในวันศุกร์ (30 ก.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,589.51 จุด ลดลง 2.59% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 71,505.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.49% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.81% มาปิดที่ 653.29 จุด
สำหรับสัปดาห์นี้(3-7 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,575 และ 1,550 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,610 และ 1,625 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ISM/PMI ภาคการผลิต ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ย. ของยูโรโซน อังกฤษและญี่ปุ่น รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของยูโรโซน
Social Links