เผยคนไทยขอให้ค่ายสินค้าเปิดเผยเรื่องการใช้ AI
พร้อมแนะรัฐกำกับดูแล-จัดการศึกษา AI ให้มาก
ในขณะที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่ส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างเต็มศักยภาพ ได้มีผลสำรวจใหม่ที่เปิดตัวภายในงาน PRCA Thailand Conference 2025 ที่จัดขึ้นที่สยาม พารากอน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา งานศึกษาชิ้นนี้ถูกจัดทำขึ้นในหัวข้อ “AI Sentiment Analysis: Trust, Ethics, and Equitable Adoption in Thailand” ที่เผยให้เห็นว่าคนไทยมีทัศนคติในแง่บวกต่อการเข้ามาของ AI แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องการให้แบรนด์ต่าง ๆ มีความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวการใช้ AI ทั้งภายในองค์กรและในงานสื่อสารการศึกษาครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัทวิจัยการตลาด YouGov และสมาคมประชาสัมพันธ์และการสื่อสารแห่งเอเชียแปซิฟิก (PRCA Asia Pacific) โดยได้มีการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยกว่า 2,000 คน ครอบคลุมทุกช่วงอายุ เพศ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจทัศนคติของคนไทยต่อพัฒนาการของ AI โดยเฉพาะในมิติที่เชื่อมโยงกับความไว้วางใจและความโปร่งใสในการใช้เครื่องมือ AI ในชีวิตประจำวัน
“AI ได้กลายมาเป็นเทรนด์หลักของสังคมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ผู้คนและองค์กรต่าง ๆ ได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงาน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการตัดสินใจ การให้บริการ การมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งยังเปลี่ยนความคาดหวังของผู้คนต่อสิ่งเหล่านี้้ตามไปด้วย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานศึกษาชิ้นนี้จะช่วยให้แบรนด์และหน่วยงานภาครัฐสามารถกำหนดแนวทางใหม่ ๆ ในการใช้ AI ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น” นาย Gautam Gangaram, Research Director จาก YouGov กล่าว
ผลสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีคนไทยเกือบสามในสี่ที่ใช้ AI ในชีวิตประจำวัน โดยคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z เป็นช่วงอายุที่ใช้ AI มากที่สุด โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม Gen Z กว่า 86% บอกว่าพวกเขาใช้ AI เป็นประจำ
นอกจากนี้ เรายังเห็นบทบาทของ AI ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการใช้ AI อัลกอริทึมบนแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการใช้ AI เพื่อการศึกษา การทำงานสร้างสรรค์ และการค้นหาข้อมูล
ในส่วนของแนวโน้มการใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างสรรค์ข้อมูลและเนื้อหา หรือที่เราเรียกว่า Generative AI นั้น ผลการศึกษาพบว่า ChatGPT เป็นเครื่องมือได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีผู้ใช้งานมากถึง 74% ซึ่งมากกว่า Gemini ที่มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 49% อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งานอยู่เพียง 14.9% ซึ่งอาจไม่น่าแปลกใจเนื่องจาก Copilot เป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนามาเพื่อใช้งานในภาคธุรกิจเป็นหลัก
ความคุ้นเคยของคนไทยต่อ AI ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ส่งผลให้คนไทยมีทัศนคติในแง่บวกต่อ AI ตามไปด้วย โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งหรือกว่า 48% มีมุมมองแง่บวกต่อ AI แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับและความพร้อมของคนไทยต่อการประยุกต์ใช้ AI ในอนาคต นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามอีกกว่าสามในสี่ยังมองว่าผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่าง ๆ ควรเริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในการทำงานของตัวเอง สะท้อนว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในศักยภาพของเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างดี
แต่แม้ว่าภาพรวมจะเป็นไปในแง่บวก ยังมีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 12% ที่มีความกังวลต่อการใช้ AI โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือดิจิทัลอื่น ๆ เช่น เครื่องมือค้นหา (Search Engine) แอปพลิเคชัน และแพลทฟอร์มซื้อของออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซ
“ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิตในโลกดิจิทัล จะเห็นได้ว่าทั้งความสนใจและความกังวลต่อ AI ต่างก็เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น เราจึงควรเร่งส่งเสริมให้สังคมเกิดความตระหนักรู้และความเข้าใจต่อ AI พร้อมไปกับการสร้างแนวทางเพื่อเปลี่ยนให้ความกังวลกลายมาเป็นการมีส่วนร่วมอย่างรู้เท่าทัน” นาย Ed Burleigh ประธานสมาคมประชาสัมพันธ์และการสื่อสารแห่งเอเชียแปซิฟิก กล่าว
ความโปร่งใสของแบรนด์ ช่วยสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภค ในขณะที่เทคโนโลยี AI ยังพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมและการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ และทำให้ประเด็นความไว้วางใจต่อการใช้ AI เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับแบรนด์ องค์กร และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้คน ทั้งต่อการเลือกใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์
ผลการศึกษาชี้ว่าคนไทยส่วนมากถึง 92% ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ AI แสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการเรียกร้องความโปร่งใสจากองค์กรเหล่านี้ ในขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ต้องการให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องการให้เปิดเผยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้ AI เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น
ประเด็นความโปร่งใสในการใช้ AI นั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความไว้วางใจของผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจะเห็นได้จากที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 86% ชี้ว่าพวกเขาจะไว้วางใจในบริษัทเท่าเดิมหรือมากขึ้น หากองค์กรเหล่านั้นสื่อสารต่อสาธารณะเกี่ยวกับการใช้ AI อย่างเปิดเผยและชัดเจน
ในกรณีของอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเตอร์ ผู้ตอบแบบสอบถาม 35% มองว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ AI จะทำให้คอนเทนต์ดูน่าสนใจและเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรจะพึ่งพา AI ในการสร้างคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามอีกเกือบครึ่งหนึ่งยังมองว่า AI ควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทดแทน
คนไทยอยากได้รัฐบาลที่ผลักดันการใช้ AI อย่างจริงจัง
จากการที่คนไทยเล็งเห็นถึงศักยภาพของ AI ในฐานะเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ เราจึงเห็นความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI อย่างชัดเจน โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 40% ชี้ว่าสนใจการเรียนรู้เรื่อง AI ผ่านการอบรมแบบลงมือทำหรือเวิร์กช็อป 39% ต้องการเรียนรู้ผ่านวิดีโอที่สอนโดยอินฟลูเอนเซอร์สายเทคโนโลยี และ 36% ต้องการเรียนรู้ผ่านคอร์สออนไลน์
ความกระตือรือร้นนี้มาพร้อมกับข้อเสนอแนะที่คนไทยอยากให้รัฐบาลเข้ามากำกับดูแลการใช้ AI ให้เป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยพวกเขายังเรียกร้องให้มีการร่างข้อกฎหมายใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้สังคมมั่นใจได้ว่า AI จะถูกนำไปใช้อย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และปลอดภัย โดยประเด็นจริยธรรม เป็นสิ่งที่ผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังให้รัฐบาลกำกับดูแลมากที่สุด (52%) ตามมาด้วยการจัดการศึกษาเกี่ยวกับ AI (50%) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI (38%) เพื่อให้ทุกคนในประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างแพร่หลาย
ผลการศึกษาทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของคนไทยที่ต้องการสร้างสังคมที่ทั้งส่งเสริมและปกป้องพวกเขาในโลกที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัศนคติของคนไทยต่อ AI ผ่านเอกสารฉบับเต็มได้ฟรี ที่เว็บไซต์ Vero https://vero-asean.com/
เกี่ยวกับวีโร่ (Vero)
วีโร่ (Vero) เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาแก่แบรนด์ชั้นนำ องค์กรธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ลงนามในปฏิญญา Clean Creative ตั้งแต่ปี 2565 และได้รับรองมาตรฐาน B Corp ในทุกสำนักงาน วีโร่มุ่งใช้แนวคิดเชิงนวัตกรรมในงานประชาสัมพันธ์และการตลาด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายให้กับลูกค้าและสังคมส่วนรวม
ด้วยทีมงานกว่า 260 คนที่เชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย สื่อดิจิทัล อินฟลูเอนเซอร์ และงานครีเอทีฟ ที่ประจำอยู่ในหลายประเทศทั่วภูมิภาค ทั้งในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย และพาร์ทเนอร์ในเมียนมา วีโร่มุ่งมั่นนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับสื่อต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัล การเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในสังคม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวหน่วยงานใหม่ล่าสุด ได้แก่ Vero IQ ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก, Vero Xperience ที่มุ่งสร้างสรรค์อีเวนต์แนวใหม่ให้กับแบรนด์ในภูมิภาค และ Vero Advocacy หน่วยงานที่ปรึกษาที่เชื่อมโยงการทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างมีกลยุทธ์
วีโร่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Global Top 250 Agency Ranking โดย PRovoke Media และคว้ารางวัล Southeast Asia Consultancy of the Year หลายสมัย บริษัทฯ พร้อมบูรณาการและออกแบบกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่สอดคล้องกับระบบนิเวศทางดิจิทัลและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศและในภูมิภาค
Social Links