แง่คิดจาก“หัวเว่ย-หัวหมุน”
ศึก “มะกัน-จีน”ชักจะโกโซบิ๊ก!จากเทรดวอร์พลิกสู่ “เทควอร์”ไปเรียบร้อยโรงเรียนทรัมป์& สี!!
แต่ที่โดนเต็มๆคงหนีไม่พ้นค่ายยักษ์ใหญ่จากจีน “หัวเว่ย”เพราะเจอเจ้าสัวทรัมป์จับเป็นตัวประกัน ถึงขั้น กูเกิ้ล ประกาศแบนมายกหนึ่ง แต่อีท่าไหนไม่รู้ จู่ๆก็เลื่อนออกไป 90 วัน พอมาล่าสุดนี้ เฟสบุ๊ก เอามั่ง เลยชักจะยุ่งนุงนังไปกันใหญ่
งานนี้ทีมข่าว สำนักข่าว Thaibcc ชมรมคอลัมนีสต์และนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ไทย ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชม OPEN LAB หรือศูนย์เทคโนโลยี่และการเรียนรู้ฯรองรับเทคโนโลยี่ 5G ที่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า-นายแน่มาก!
หัวเว่ยไทยได้พัฒนาเทคโนโลยี่ โดยร่วมกับหน่วยงานต่างๆของไทยนี่แหละ ยกตัวอย่างเช่น ร่วมกับการไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.)หรือ PEA ตรวจเช็คมิเตอร์ไฟตามบ้านเรือนประชาชน จากนั้นก็ยิงตรงมายังสำนักงานใหญ่ได้เลย โดยไม่ต้องมีคนไปเดินต๊อกๆคอยจดตัวเลขมิเตอร์อีกต่อไป
แล้วอีกอย่างที่น่าทึ่งก็คือ เขามีกล้องที่สามารถตรวจจับใบหน้ผู้คนเดินไปเดินมาตามถนนหนทางหรือสถานที่ต่าง ถ้าพบว่า ใครมีประวัติอาชญากร จะมีการแจ้งเตือนทันที เห็นว่ากล้องสามารถตรวจๆได้ทีละ 100 หน้าทีเดียว
งานนี้คงต้องร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแน่ๆ ในยุคโจรเต็มบ้านอย่างนี้ ประชาชนคนดีก็อุ่นอกอุ่นใจขึ้นเป็นแน่ ส่วนพวกผู้ร้าย งานนี้มีหนาว!!!
แล้วข่าวดีจากหัวเว่ยก็คือ ปีนี้ 5G มาไทยแน่!
ส่วนกรณีที่“เป็นเรื่อง”ทำให้หัวเว่ยต้องหัวหมุนอยู่นี้ ทางหัวเว่ยไทย โดยคุณเฮียโจว เจิ้น ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะและการสื่อสาร ภาคพื้นเอเซียอาคเนย์ เล่าให้เราฟังว่า เขาเองก็ยังงงๆ ว่าเหตุได คุณพี่ทรัมป์ ณ ยูเอสเอ ถึงได้มาเล่นงานหัวเว่ย ที่เป็นแค่บริษัทเอกชนคนหนึ่งเท่านั้น แล้วก็เป็นบริษัทที่มีการติดต่อค้าขายไป 172 ประเทศทั่วโลก แถมมีพนักงานอยู่ถึง 188,000 คน อีกต่างหาก
ที่สำคัญหัวเว่ยไปอยู่ที่ไหน ก็ปฏิบัติตามกฎหมายของที่นั่นมาตลอด มีCSR มีกิจกรรมเพื่อสังคมครบครัน
อย่างที่เมืองไทยเนี่ย จ่ายภาษีมาแล้ว 116 ล้านบาทหรือ กว่า 3,600 ล้านบาททีเดียวเชียว
แล้วถามว่า อีตอนที่เจอกูเกิ้ลแบนหะแรกนั้น กระเทือนซางมั่งรึป่าว เขายกตัวเลขขึ้นมาแทนคำตอบว่าในไตรมาสแรกของปี 2562 เราโต 39% แต่เมษายน เดือนแรกของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เรามียอดโต 25% ก็ถือว่าเป็นปกติของการค้าการขาย
เขาว่าปกติ เราก็ว่า ปกติไปด้วย! ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไง ก็ต้องคอยติดตามต่อไป!!
แต่มีประเด็นน่าสนใจ คือเขาพูดถึงงบ R&D แปลเป็นไทยก็คืองบวิจัยและพัฒนา แบบทุ่มสุดๆ คือ 10% ของยอดขาย ไม่บอกว่ายอดขายเท่าไหร่ แต่บอกว่าเมื่อปี 2561 ได้ใช้งบ R&D ไปทั้งสิ้น 15,000 ล้นดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 470,000 ล้านบาท แถมบอกอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะใช้งบ R&D 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะมีเฉพาะพนักงานส่วน R&D นี้ถึง 80,000 คน
งบ R&D เท่านั้น จะเป็นยอดขายเท่าไหร่ ไปบวก ลบ คูณ หารเอาเองจ้า!
เป็นเรื่องราวคร่าวๆพอเห็นภาพ ทีนี้มาฟังแง่คิดของ มร.เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทหัวเว่ย เสียหน่อย ซึ่งก็แอบจำมาจากบทสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่จีน เมื่อครั้งที่เกิดเรื่อง”กูเกิ้ล”ใหม่ๆ
นักข่าวถามประมาณว่าเกี่ยวกับเรื่องชิพจากอเมริกาจะไม่เป็นปัญหากับหัวเว่ย เพราะได้เตรียมไว้แล้ว นั้นเป็นอย่างไร
ซึ่งประธานเหรินก็บอกว่า “สิ่งแรกเลย คือเรายังต้องการชิพของสหรัฐฯอยู่เสมอ พันธมิตรในสหรัฐของเรา กำลังทำหน้าที่ของพวกเขา และขออนุมัติจากวอชิงตัน หากมีการอนุมัติเราก็ยังคงซื้อชิพจากเขา …..เราจะไม่ทิ้งพันธฺมิตรในสหรัฐของเรา”
พร้อมกับพูดถึงแนวทางธุรกิจของเขาว่า “แม้ว่าบริษัทคู่ค้าของเราจะไม่สามารถจัดส่งชิพได้มากเพียงพอ แต่เราก็ไม่มีปัญหา เพราะเราสามารถผลิตชิพคุณภาพสูงที่เราต้องการได้เองทั้งหมด ในช่วงเวลาสงบสุข เราใช้นโยบาย 1+ 1 คือใช้ชิพครึ่งหนึ่งจากบริษัทในสหรัฐฯและอีกครึ่งหนึ่งจากหัวเว่ย ถึงแม้ชิพของเราจะมีต้นทุนต่ำกว่ามาก แต่เราก็จะยังซื้อชิพที่ราคาสูงกว่าจากสหรัฐอเมริกา เพราะเราไม่สามารถอยู่แยกจากโลกนี้ได้ ดังนั้นเราควรจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน”
ซึ้งใจดีมั้ย!!
จากคำกล่าวนี้ ก็ชัดเจนว่า ธุรกิจหรือคนเรา ไม่ว่าจะเจ๋งแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ การจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มันก็ต้องมีได้ มีเสีย จะได้อย่างเดียว คงเป็นไปไม่ได้
นี่เป็นแนวทางในการทำธุรกิจได้อย่างดี หรือการเมืองจะเอาไปใช้บ้างก็ได้นะ เผื่อจะแบ่งเก้าอี้กันง่ายขึ้น!!!
Social Links