“ดร.มนพร”ร่วมยินดี 73 ปี“การท่าเรือ”
พร้อมเร่งเดินหน้าท่าเรือสีเขียวเพื่อความยั่งยืน
รุกพัฒนาศักยภาพขับเคลื่อน ศก.ประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดร.มนพร เจริญศรี เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ครบรอบ 73 ปี ณ อาคารโรงยิมเนเซียม PAT Arena พร้อมนี้ กทท. ได้มอบเงินสนับสนุนจัดหารถหน่วยคัดกรองมะเร็งนรีเวชให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี จำนวน 36,720,400 บาท เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อช่วยเหลือสตรีกลุ่มเสี่ยงผู้ด้อยโอกาสในการตรวจคัดกรองมะเร็งทางนรีเวช
ดร.มนพร เจริญศรี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 73 ปี กทท. ถือเป็นองค์กรสำคัญที่มุ่งขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ โดยใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการให้บริการเพื่อลดขั้นตอน ลดระยะเวลา ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมุ่งสู่ท่าเรือสีเขียว (Green Port) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Decarbonization) โดยติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงพักสินค้าและอาคารในพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ส่งเสริมการใช้รถยกไฟฟ้า (EV) สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทน ลดมลพิษปัญหาฝุ่นละอองในบริเวณพื้นที่ อย่างไรก็ตามจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในโลกยุคปัจจุบัน กทท. จะต้องปรับตัวเพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง(Transformation) โดยการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและครบวงจร เพื่อก้าวสู่การเป็นเมืองท่าที่ทันสมัย เพิ่มศักยภาพรองรับธุรกิจพาณิชยนาวี การขนส่ง โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว สานต่อนโยบาย “คมนาคมเปิดประตูการค้า การท่องเที่ยว สร้างการเป็น HUB เชื่อมโยงการเดินทางทุกมิติ” ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบท่าเรือต่อไป
ดร.มนพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการยกระดับการให้บริการและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ กทท. มีนโยบายสร้างรูปแบบธุรกิจและกิจกรรมใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการและตอบสนองความต้องการของผู้นำเข้า – ส่งออก เพื่อให้ท่าเรือกรุงเทพพัฒนาเป็น HUB ที่สำคัญของประเทศ โดยส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการร่วมกับท่าเรือเอกชนในแม่น้ำเจ้าพระยา (Chaophraya Super Port) อีกทั้งยังดำเนินโครงการเขตปลอดอากร (Bangkok Port Free Zone) สร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินการ 6 – 7 ล้านบาทต่อปี รวมถึงได้มีแผนในการขยายขีดความสามารถรองรับตู้สินค้า คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรือกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automated Container Terminal) และโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์เชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport & Distribution Center)
นอกจากนี้ กทท. ได้พัฒนาท่าเรือตามนโยบายการขนส่งหลายรูปแบบ (Seamless Transport) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ลดปัญหาความแออัดจากการขนส่งบริเวณท่าเรือ รองรับการเติบโตด้านการขนส่งสินค้าผ่านทางเรือชายฝั่งและทางรถไฟที่จะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต รวมทั้งโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 2 ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ในโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา – อาจณรงค์ (S1) เพื่อให้รถบรรทุกสินค้าสามารถระบายออกสู่ทางพิเศษอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และโครงการพัฒนาพื้นที่ลานจอดรถบรรทุก (Truck Parking) และการจองคิวรถบรรทุกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Truck Queuing) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ดร.มนพร กล่าวในตอนท้ายว่า ความคืบหน้าของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างทางทะเล ผลการดำเนินการสะสม ณ เดือนเมษายน 2567 คิดเป็น 27.25% ส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อลงนามในสัญญาต่อไป ในส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนที่ 4 งานจ้างเหมาสร้างเครื่องจักรฯ อยู่ระหว่างจัดทำเอกสารประกวดราคา อย่างไรก็ตามได้กำชับให้ กทท. ติดตามเร่งรัดผู้รับจ้างให้ดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กระทบงานส่วนอื่น และส่งมอบแล้วเสร็จทั้งโครงการฯ ได้ตามกรอบระยะเวลาของสัญญา
สำหรับการดำเนินงานของท่าเรือในส่วนภูมิภาค กทท. มีแนวทางพัฒนาท่าเรือระนอง โดยพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าเทียบเรือ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมขนส่งชายฝั่งอันดามัน กลุ่ม BIMSTEC สนับสนุนแลนบริดจ์ และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ สำหรับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการส่งออกสัตว์ปศุสัตว์ที่เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนและเกษตรกรที่อยู่บริเวณพื้นที่โดยรอบท่าเรือและอำเภอเชียงแสนตามนโยบายของรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลให้มีรายได้จากการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการ กทท. มีส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมร้อยละ 85.21 โดยเป็นธุรกิจ Deep Sea Port มีร้อยละ 86.34 และธุรกิจ River Port ร้อยละ 78.20 ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง รวม 7,230 เที่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.36 สินค้าผ่านท่า 58.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.85 และตู้สินค้าผ่านท่า 5.28 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.77 มีรายได้สุทธิ 8,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.97 กำไรสุทธิ 4,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.34 เทียบกับปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ กทท. ยังเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่นำรายได้นำส่งแผ่นดินสูงสุด 10 อันดับแรก และคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มพูนประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และพัฒนาศักยภาพขององค์กรสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำ ภายใต้มาตรฐานสากล พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศในตลาดการค้าโลกผ่านโครงการพัฒนาท่าเรือที่สำคัญ อันจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
ในโอกาสนี้ กทท. ได้มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศลให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน จำนวน 1,500,000 บาท วัดดอนทรายและโรงเรียนวัดดอนทราย สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย มัสยิดอิดารุลมีนา ชมรมผู้สูงอายุ กทท. และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทท. หน่วยงานละ 300,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,000,000 บาท พร้อมเชิญชวนหน่วยงานภายนอกที่ร่วมงานได้ร่วมสมทบทุนให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวนด้วย
Social Links