ชี้ไทยเดินหน้าโรดแมปเศรษฐกิจสีเขียว
“ไบโอมีเทน”เชื้อเพลิงชีวภาพ พลังงานแห่งอนาคต
ขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางอาเซียน
นายอลงกรณ์ พลบุตร
ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล”
ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT) นำเสนอโรดแมปเศรษฐกิจสีเขียว “ไบโอมีเทนเชื้อเพลิงชีวภาพ :พลังงานแห่งอนาคตของไทย“เส้นทางสู่ศูนย์กลางอาเซียนตอบโจทย์มิติเศรษฐกิจ พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่เป็นความท้าทายใหม่ของประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจในบทความนี้

“ไบโอมีเทน เชื้อเพลิงชีวภาพ
: พลังงานแห่งอนาคตของไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน”
“ไบโอมีเทน” (Biomethane) คือ ก๊าซมีเทนบริสุทธิ์ (CH₄)ผลิตจากแหล่งชีวภาพเรียกอีกอย่างว่า “ก๊าซธรรมชาติหมุนเวียน” (Renewable Natural Gas – RNG)มีมูลค่า10 ล้านล้านบาท ในตลาดโลกเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy)ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่สุดในอาเซียน
ปัจจุบันมูลค่าตลาดไบโอมีเทน (Biomethane) ทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ 100-120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ( 3.5 – 4.2 ล้านล้านบาท) มีอัตราเติบโตต่อปีสูงถึง 10-15% และมีแนวโน้มจะเติบโตไปสู่ระดับ 200-300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ( 7-10 ล้านล้านบาท)หรือมากกว่านั้นภายในปี ค.ศ.2030-2035(พ.ศ.2573-2578) เนื่องจากแรงกดดันจากความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การแสวงหาความมั่นคงทางพลังงาน และ การนำไบโอมีเทนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในการขนส่งและการผลิตไฟฟ้า

ตัวอย่างอุตสาหกรรมไบโอมีเทนในต่างประเทศ
การพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอมีเทนในประเทศต่าง ๆและภูมิภาคต่างๆมีความแตกต่างกันซึ่งควรค่าแก่การถอดรหัสกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ของไทยดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ยุโรป
ประเทศในยุโรปเป็นผู้นำด้านนโยบายและเทคโนโลยี
ประเทศเดนมาร์ก
มี ระบบ BioCat Plant ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Biological Methanation ซึ่งเป็นการรวมก๊าซไฮโดรเจนสีเขียวเข้ากับกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแปลงสูงสุดถึง 99.5% ตามรายงานของDanish Energy Agencyในปี2024
บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสนับสนุนงานวิจัยด้าน Hybrid Systems
ประเทศเยอรมัน
มีโครงการ Viessmann BioTech ที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิด Circular Economy โดยใช้กระบวนการ 2 ขั้นตอนในการผลิตทั้งไบโอมีเทนและปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งช่วยลดการปล่อย Co2ได้ 150,000 ตันต่อปี จากข้อมูลของFederal Ministry for Economic Affairsปี 2024
ประเทศฝรั่งเศส
ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาขยะในเมืองผ่านโรงงาน GRDF ในลียง ที่ใช้วัตถุดิบหลักจากขยะอาหารของครัวเรือน 150,000 ครัวเรือนเพื่อผลิตพลังงานสำหรับรถบัสกว่า 100 คัน

- อเมริกา
ตลาดไบโอมีเทนในสหรัฐอเมริกามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีนวัตกรรมทางการเงินที่สำคัญ ในรัฐ แคลิฟอร์เนีย มี โครงการ Dairy Digesters ที่ใช้กลยุทธ์ การรวมกลุ่ม (Aggregation) ของฟาร์มโคนมกว่า 250 แห่ง ทำให้สามารถผลิตไบโอมีเทนในระดับอุตสาหกรรม 350 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี และสร้างรายได้หลักจาก LCFS credits (Low Carbon Fuel Standard Creditsเป็นกลไกทางการเงินภายใต้ระบบ มาตรฐานเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ-ผู้เขียน)ซึ่งเป็นรายงานของCalifornia Air Resources Board ปี2024
ความสำเร็จนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ กลไกตลาดคาร์บอนที่คล่องตัว เช่นบริษัท BP Archaea Energy ได้ใช้โมเดล Monetization Platforms เพื่อรวมกลุ่มและขาย RIN credits ซึ่งเป็นแรงจูงใจทางการเงินที่ดึงดูดการลงทุนได้สูงถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023
นอกจากนี้ ความสำเร็จของ บราซิล ในการผลิตไบโอมีเทนจากอุตสาหกรรมอ้อย ก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับไทยที่มีโครงสร้างอุตสาหกรรมคล้ายคลึงกัน
- เอเชีย
ประเทศในเอเชียได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและนโยบายที่แน่วแน่
อินเดีย
เดินหน้าโครงการ SATAT เฟส2กำหนดเป้าหมายผลิตไบโอมีเทน 5,000 โรงงานภายในปี 2026 พร้อมมาตรการรับซื้อในราคาคงที่ที่จูงใจโดยการสนับสนุนของ Ministry of Petroleum & Natural Gas Indiaซึ่งเป็นตัวอย่างของนโยบายระดับชาติที่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ญี่ปุ่น
คูโบต้า(Kubota)วิจัยเครื่องยนต์การเกษตรที่ใช้ไบโอมีเทนจากมูลสัตว์ในฟาร์ม Toyota พัฒนาเครื่องยนต์สำหรับรถโดยสารที่ใช้ไบโอมีเทนควบคู่กับระบบไฮบริด Isuzu เปิดตัวรถบรรทุกต้นแบบที่ใช้ก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG)
เมือง โยโกฮาม่า ใช้เทคโนโลยี High-Pressure Membrane Separationผลิตไบโอมีเทนจากขยะอาหารสำหรับภาคขนส่ง
ศักยภาพไบโอมีเทนของไทย
ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพไบโอมีเทนสูงที่สุดในอาเซียนและกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวปัจจุบันมีโครงการก๊าซชีวภาพกว่า 335 เมกะวัตต์ เป็นฐานสำคัญในการต่อยอดไปสู่การผลิตไบโอมีเทนคุณภาพสูง
การผลิตก๊าซชีวภาพ (Biogas) และการปรับปรุงคุณภาพเพื่อผลิตเป็นไบโอมีเทนอัด (CBG :Compressed Biomethane Gas) เป็นทางเลือกเชื้อเพลิงขนส่ง โดยมีเป้าหมายการผลิตในแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) 4,800 ตันต่อวันภายในปี 2579 ตามข้อมูลเดิมในแผน AEDP และมีเป้าหมายรวมในการผลิตพลังงานชีวภาพสูงถึง 5,570 เมกะวัตต์ภายในปี 2579
โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ระบุว่าประเทศไทย มีศักยภาพการผลิตไบโอมีเทนได้มากถึง 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่งเทียบเท่ากับการลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ได้กว่า 450,000 ตันต่อปี
แหล่งวัตถุดิบหลักที่มีศักยภาพสูงประกอบด้วย
- ภาคปศุสัตว์ เป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีความสำคัญสูงสุด โดยมูลสัตว์จากฟาร์มสุกรและโคนมกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศมีศักยภาพการผลิตกว่า 800 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
- อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรม เป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญรองลงมา โดยเฉพาะน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ เช่น โรงงานสับปะรด อ้อย น้ำตาล และมันสำปะหลัง ซึ่งประมาณการว่าศักยภาพรวมของก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียสูงถึง 3,609 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่วนหนึ่งสามารถนำมาปรับปรุงเป็นไบโอมีเทนได้
- ขยะชุมชน โดยเฉพาะขยะอินทรีย์และขยะอาหารในเขตเมืองใหญ่ ก็เป็นอีกแหล่งวัตถุดิบที่มีศักยภาพสูงเพื่อนำมาผลิตก๊าซชีวภาพและไบโอมีเทน ซึ่งนอกจากจะสร้างพลังงานแล้วยังช่วยแก้ไขปัญหาการจัดการของเสียในเมืองได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 15 ล้านตันต่อปี
สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของไบโอมีเทนในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อมของประเทศในอนาคต
5 ปัจจัยขับเคลื่อนในประเทศไทย
- นโยบายและการสนับสนุนของภาครัฐ (Strong Government Policy Support)
1.1 อัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed-in Tariff: FiT)
การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซชีวภาพในราคาที่จูงใจ ทำให้โครงการผลิตไฟฟ้าจากไบโอมีเทนมีความเป็นไปได้ทางการเงิน
1.2 มาตรการลดหย่อนภาษี
การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินสนับสนุนการลงทุนบางส่วน ช่วยลดต้นทุนเริ่มแรก (CAPEX:Capital Expenditure) สำหรับนักลงทุน
- ศักยภาพของวัตถุดิบชีวมวลที่มีอยู่มากมาย (Abundant Feedstock Availability)
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีวัตถุดิบที่เป็นของเสียจำนวนมาก เช่น มูลสัตว์จากฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ฟาร์มสุกรและฟาร์มวัว ,กากอ้อย น้ำเสียจากโรงงานแปรรูปอาหาร และของเสียจากภาคอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ
3.การจัดการของเสียและการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม (Waste Management and Environmental Solution)
การนำของเสียและน้ำเสียมาผลิตไบโอมีเทนไม่เพียงแต่ให้พลังงานเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็น มลพิษทางน้ำ และการจัดการของเสียขนาดใหญ่ในพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
- เป้าหมายพลังงานของประเทศ (National Energy Targets)
แผนพลังงานทดแทนของประเทศ (AEDP) กำหนดเป้าหมายกำลังการผลิตพลังงานชีวภาพที่ชัดเจน เพื่อให้พลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้าและการใช้เชื้อเพลิงของประเทศ
เช่นการผลักดัน BioCNG เพื่อใช้ทดแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงไบโอมีเทนเข้ากับภาคการขนส่งโดยตรง
- เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของไทยมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 โดยมีเป้าหมายหลักใน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2035
ถอดบทเรียนเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย
เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย ประเทศไทยต้องนำบทเรียนจากผู้นำระดับโลกมาปรับใช้อย่างเร่งด่วน
- นโยบายและกฎระเบียบที่ชัดเจน
1.1กำหนดไบโอมีเทนเป็นวาระแห่งชาติ ที่มีเป้าหมายและแผนปฏิบัติการชัดเจน โดยใช้โมเดล SATAT ของอินเดีย เป็นแนวทางเบื้องต้น
1.2กำหนดมาตรฐานไบโอมีเทนไทย (Thai Biomethane Standard) สำหรับการรับรองคุณภาพ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ISO 20675:2024
1.3ขยาย สิทธิประโยชน์ BOI ให้ครอบคลุมทั้งระบบผลิตและโครงสร้างพื้นฐาน
- สิ่งจูงใจทางการเงินที่ดึงดูด
2.1 พัฒนาและปรับปรุงกลไก Feed-in Tariff (FiT): ควรปรับเพิ่มเพื่อจูงใจนักลงทุนมากขึ้น
2.2 จัดตั้ง กองทุนหมุนเวียน (Biomethane Fund) สำหรับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
2.3 ส่งเสริมตลาดคาร์บอนที่คล่องตัว: พัฒนาระบบเครดิตสำหรับไบโอมีเทนโดยเฉพาะ ตามโมเดล RINs ของสหรัฐฯ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้ผู้ผลิต
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการรวมกลุ่ม
3..1 ส่งเสริม การรวมกลุ่ม (Aggregation)โดยจัดตั้ง Smart Farm Clustersในภาคปศุสัตว์ ตามแบบ Dairy Digesters ในแคลิฟอร์เนีย
3.2 พัฒนาระบบขนส่งไบโอมีเทนอัด (Bio-CNG) และส่งเสริมการขนส่งไบโอมีเทนด้วยระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่อุตสาหกรรม
- การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
4.1 สนับสนุนการพัฒนา เทคโนโลยี โดยใช้ประโยชน์จากกลไก JCM ร่วมกับญี่ปุ่น
4.2 ส่งเสริม Hybrid Systems
สนับสนุนการผลิตไบโอมีเทนควบคู่ไปกับการผลิตปุ๋ยและชีวภัณฑ์อื่น ๆ ตามตัวอย่าง Viessmann BioTech ของเยอรมนี
บทสรุป: โอกาสของไทยสู่ฮับอาเซียน
ไบโอมีเทนกำลังเปลี่ยนจากการเป็น พลังงานทางเลือก สู่ พลังงานหลัก ในหลายประเทศทั่วโลก การสรุปบทเรียนด้านนโยบายและเทคโนโลยีจากยุโรปด้านตลาดและธุรกิจจากอเมริกาและถอดรหัสการปรับตัวและความร่วมมือจากเอเซียจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอมีเทนได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกด้วยความได้เปรียบด้านทรัพยากรการเกษตรและที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตามการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอมีเทนของไทยยังเผชิญอุปสรรคสำคัญ เช่น ต้นทุนการผลิตและเทคโนโลยี ที่ยังคงสูงเมื่อเทียบกับก๊าซธรรมชาตินำเข้า, โครงสร้างพื้นฐานจำกัด โดยเฉพาะระบบท่อส่งก๊าซที่ไม่ครอบคลุมแหล่งวัตถุดิบหลัก, การขาด กรอบกฎหมายและมาตรฐาน กลางที่ชัดเจน, และปัญหาการรวบรวมวัตถุดิบที่ กระจายตัวและมีขนาดเล็ก ทำให้ขาดประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์นับเป็นความท้าทายที่จะต้องเอาชนะหากจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเชื้อเพลิงชีวภาพไบโอมีเทนของอาเซียนและเศรษฐกิจสีเขียว
THAI
Social Links