เสนอตั้งกองทุนพยุง “ท่องเที่ยว”
ป้องกันคนตกงาน-ตีกันทุนใหญ่ฮุบ!
ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 (ซอฟท์โลน) วงเงินไม่เกิน 3.5 แสนล้านบาท โดยระบุว่า
สถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้มีปัญหาอย่างมาก เพราะนักท่องเที่ยวที่เคยมาประเทศไทย ปีละกว่า 40 ล้านคน ใช้จ่ายเงิน 2ล้านล้านบาทหมุนเวียนให้ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ แต่อยู่ๆ ก็หายไปโดยที่แม้มีความพยายามกระตุ้นให้คนไทยเที่ยวกันเองก็คงจะชดเชยได้ยาก และเชื่อว่าภาวะนี้จะอยู่ถึงสิ้นปีหน้า ตราบใดที่วัคซีนยังไม่มีความก้าวหน้า และยังเกิดความเสียหายจากโควิด-19
ดังนั้นจากความพยายามของภาครัฐ แม้จะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเช่น พักทรัพย์ พักหนี้ แต่อาจยังไม่เพียงพอ การให้ บสย. ค้ำประกันก็อาจทำได้เพียงระดับหนึ่ง เพราะวิสัยของธุรกิจการเงินจะต้องดูแลความมั่นคงของตัวเอง ณ เวลานี้สถาบันการเงินไม่ได้ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ไม่เหมือนกับในต่างประเทศที่ธนาคารกลางสามารถใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing -QE) เพื่ออัดฉีดเงิน ส่วนระบบเศรษฐกิจการเงินของไทยมีสภาพเงินล้น ดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้นเมื่ออัดเม็ดเงินเข้าธนาคาร แต่ธนาคารก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่ถ้าธนาคารยอมปล่อยเงินกู้ก็เท่ากับว่าธนาคารก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียซึ่งจะทำให้เงินทุนของธนาคารหดหายไป ซึ่งสิ่งนี้จะกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญในการดำเนินมาตรการของกระทรวงการคลัง
ดร.พิสิฐ กล่าวว่า การที่ธนาคารไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็น Land Bank หรือเป็นการเก็บทรัพย์สินเข้ามาไว้ในบัญชี แต่ธนาคารมีหน้าที่หมุนเงินให้มีการเข้า-ออก ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาก็คือ สถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ภาคธุรกิจเกิดความเสียหายเพราะไม่มีรายได้ มีการขาดทุน ทุนหดหาย ดังนั้นการไปกู้เงิน เจ้าหนี้จะดู D/E Ratio (Debt to Equity Ratio อัตราส่วนหนี้ต่อทุน) ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถในการชำระหนี้ แต่ปัญหาขณะนี้คือให้ทีทุน ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ ซึ่งมีวิธีหนึ่งที่เคยทำมาแล้วในอดีตก็คือ การแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งสถาบันการเงินควรได้รับแรงจูงใจให้แปลงหนี้เป็นทุนกับผู้กู้ในการแปลงหนี้ให้เป็นทุน เพราะทุนนั้นจะทำให้เกิดความสามารถในการกู้หนี้เพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ทุนไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย หากไม่มีกำไร เพราะฉะนั้นเรื่องทุนจึงเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นเงินที่จะอัดฉีดจำนวน 3.5 แสนล้านก็ดี หรือที่คิดว่างบประมาณจะเสียหาย 1 แสนล้านก็ดี ตนก็อยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ดูแลให้เป็นการอัดฉีดในรูปของทุน แทนที่จะอยู่ในรูปของหนี้ เพราะเอกชน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวนั้นไม่มีกำลังที่จะก่อหนี้เพิ่มได้ แต่ถ้าเป็นการอัดฉีดทุนโดยที่ส่วนหนึ่งเป็นการช่วยเหลือจากภาครัฐ อีกส่วนหนึ่งเป็นของธนาคาร แล้วให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อคืนได้ภายหลัง และมีการตั้งเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม เช่นการไม่ปลดพนักงาน การทำ CSR การทำบัญชีให้โปร่งใส เป็นต้น ซึ่งการจะทำลักษณะเช่นนี้อาจจะต้องตั้งเป็นกองทุนขึ้นมา พร้อมกับยกตัวอย่างในอดีตที่รัฐบาลได้ตั้งกองทุนพยุงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นในเวลานี้ SME ที่ทำธุรกิจกำลังย่ำแย่ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว รัฐก็ควรตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือได้เช่นกัน นอกจากไม่ทำให้เกิดการว่างงานแล้ว ธุรกิจเหล่านั้นก็จะไม่ตกไปอยู่ในมือของทุนใหญ่ที่จะเข้ามากว้านซื้อต่อไปได้อีกด้วย
Social Links