“ข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ”เป็นภัย!
ตัวการคุกคามสำคัญต่อธุรกิจไทย
จากคำเตือนของบรรดาหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง
-
การวิจัยครั้งสำคัญด้านความปลอดภัยทางกายภาพได้สำรวจความคิดเห็นของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง 2,352 ราย จากบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งมีรายได้รวมกันมากกว่า 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
-
78% ของบริษัทในไทยรายงานว่า ตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญข้อมูลบิดเบือนหรือข้อมูลเท็จในปีที่ผ่านมา
-
60% ระบุว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้ไม่ประสงค์ดีที่มุ่งเป้ามายังธุรกิจของตนมีแรงจูงใจมาจากข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับสองของโลก
รายงานฉบับใหม่ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญระบุว่า แคมเปญข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จถือเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับธุรกิจในประเทศไทย โดย 78% ของบริษัทรายงานว่าตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีดังกล่าวในปีที่ผ่านมา
ประเด็นสำคัญคือ 60% ของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงในไทยเชื่อว่า 50% หรือมากกว่านั้นของผู้ไม่ประสงค์ดีที่มุ่งเป้ามายังธุรกิจของตนมีแรงจูงใจมาจากข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับสองของโลก และพวกเขาได้ระบุว่าการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน (33%) เป็นภัยคุกคามจากภายในองค์กรอันดับต้นๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
ข้อมูลเหล่านี้เป็นผลการค้นพบที่สำคัญจากรายงานความมั่นคงโลก (World Security Report) ซึ่งจัดทำขึ้นโดย Allied Universal® ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำของโลก และ G4S ซึ่งเป็นธุรกิจระหว่างประเทศในเครือ
รายงานระดับโลกฉบับนี้ได้สำรวจความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง (CSO) หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าจำนวน 2,352 ราย ซึ่งทำงานให้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วโลกใน 31 ประเทศ โดยมีรายได้รวมต่อปีมากกว่า 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในประเทศไทย ได้มีการสำรวจ CSO จำนวน 58 ราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจในวงกว้างที่ประกอบด้วย CSO ทั้งหมด 464 รายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจจะเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ สำหรับประเทศไทย โดย 53% ของ CSO คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของพวกเขาในปีที่จะถึงนี้

คุณโกมล ปานมงคล ผู้จัดการประจำจีโฟร์เอส ประเทศไทย กล่าวว่า:
“ข้อมูลดังกล่าวเผยให้เห็นถึงภาพรวมของความปลอดภัยที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรากำลังเห็นผลกระทบของข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จที่มีต่อธุรกิจ สิ่งนี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่คาดเดาได้ยากขึ้นสำหรับธุรกิจ ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในวงกว้าง ผู้นำด้านความปลอดภัยต่างเห็นพ้องว่าความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของความปลอดภัยทางกายภาพจำเป็นต้องได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น กุญแจสำคัญ คือการรักษาความปลอดภัยที่วางแผนมาอย่างรัดกุม ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยี การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และบุคลากรด้านความปลอดภัยที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มงวด เพื่อสนับสนุนความยืดหยุ่นขององค์กรในการรับมือครั้งนี้”
95% ของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า ความปลอดภัยทางกายภาพควรมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับที่สูงขึ้นภายในธุรกิจของตน และ 97% เห็นด้วยว่าบุคลากรด้านความปลอดภัยด่านหน้า ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยขององค์กร
คุณซานเจย์ เวอร์มา (Sanjay Verma) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร G4S ประจำภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง กล่าวว่า:
“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงดำเนินไปภายใต้สภาพแวดล้อมระดับมหภาคที่ซับซ้อน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งขับเคลื่อนโดยปัจจัยสำคัญหลายประการ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ล้วนกำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านความปลอดภัยสำหรับภาคธุรกิจ”
“รายงานความปลอดภัยโลกได้ชี้ชัดว่า ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นข้อกังวลที่แพร่หลายทั่วทั้งภูมิภาค โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ยังคงเป็นผู้นำในข้อกังวลระดับโลกด้านนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงของอาชญากรรมที่มีแรงจูงใจทางการเงิน รวมถึงภัยคุกคามภายในที่เกิดจากแรงกดดันทางการเงิน เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย”
“ ในการเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ แนวทางการดำเนินงานที่หลากหลายถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ประการแรก คือ การปรับตัวให้เข้ากับความรวดเร็วและความซับซ้อนของภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วยวิธีการทางดิจิทัล ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI-powered solutions) จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่จำเป็น”
“ประการที่สอง คือ การดึงดูด ฝึกอบรม และรักษาบุคลากรด้านความปลอดภัยที่มีทักษะ ซึ่งจะต้องควบคู่ไปกับการลงทุนในบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มทักษะให้แก่บุคลากรด้านความปลอดภัยด่านหน้า เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น การเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และการดูแลสวัสดิภาพของพวกเขา และประการที่สาม คือ การส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงบวก ที่ควรขยายวงกว้างไปไกลกว่าเฉพาะแผนกความปลอดภัย แต่ครอบคลุมไปสู่พนักงานทุกคนในองค์กร”
หมายเหตุ:
เกี่ยวกับรายงานความปลอดภัยโลก ปี 2568 (2025 World Security Report) รายงานฉบับนี้อ้างอิงจากการสำรวจออนไลน์โดยไม่ระบุชื่อของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง (Chief Security Officer) หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าจำนวน 2,352 ราย จากบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วโลกใน 31 ประเทศ ซึ่งมีรายได้รวมต่อปีมากกว่า 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การวิจัยดำเนินการระหว่างวันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึง 16 เมษายน 2568 นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจออนไลน์โดยไม่ระบุชื่อในกลุ่มนักลงทุนสถาบันระดับโลกที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 200 ราย ซึ่งบริหารสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันที่ 8 ถึง 14 เมษายน 2568

เกี่ยวกับ G4S, an Allied Universal® Company:
G4S คือธุรกิจระหว่างประเทศของ Allied Universal® ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำระดับโลก และเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจจากกว่า 400 บริษัท ในกลุ่ม Fortune 500 เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับลูกค้าที่เหนือกว่า พร้อมด้วยโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ล้ำสมัย และบริการที่ปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตนได้อย่างเต็มที่ ด้วยการดำเนินงานในกว่า 100ประเทศและเขตแดน Allied Universal จัดเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ใหญ่เป็นอันดับสามในอเมริกาเหนือ และใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลก สำหรับเอเชียแปซิฟิก บริษัทมีเครือข่ายสำนักงานที่กว้างขวางและมีพนักงานมากกว่า 164,000 คน เพราะไม่มีความรับผิดชอบใดยิ่งใหญ่ไปกว่า การให้บริการ และปกป้องดูแล ลูกค้า ชุมชน และผู้คนทั่วโลก
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็ปไซต์ได้ที่ www.g4s.com หรือ www.aus.com
THAI
Social Links