AI อาจจะฉลาดเหนือมนุษย์ใน 5-20 ปี
สิ่งที่ฉลาดกว่า จะควบคุมสิ่งที่โง่กว่า
สุทธิชย ทักษนันต์
เจฟฟรีย์ ฮินตัน หรือ The Godfather of AI เป็นคนที่นักเทคโนโลยีทั่วโลกให้การนับถือมากที่สุด เขาเป็นต้นตำรับเทคนิค Deep Learning ที่เป็นต้นแบบของ AI ยุคใหม่ เขาได้รับ Turing Award ซึ่งเป็นรางวัลที่นับว่ามีเกียรติที่สุดด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เปรียบเทียบได้เท่ากับรางวัลโนเบล
Generative AI ของ Google และ OpenAI ทำให้ เจฟฟรีย์ ฮินตัน เริ่มกังวลว่า ถ้าไม่มีใครออกมาเตือนอย่างจริงจังให้ระวังอันตรายถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นจาก AI มันอาจจะสายเกินไป
เจฟฟรีย์ ฮินตัน ลาออกจาก Google เมื่อวันที่ 1-05-2023 ทำให้เขามีอิสระที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอันตรายของ AI ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบต่อธุรกิจของกูเกิล
สิบวันที่ผ่านมานี้ เจฟฟรีย์ ฮินตัน ให้สัมภาษณ์กับสื่อดังของโลกหลายสำนัก เป็นแขกกับบล็อกเกอร์ดังหลายแห่ง สรุปความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับ AI ได้ดังนี้…
การหยุดพัฒนา AI ที่เหนือกว่า GPT-4 ไว้ก่อน 6 เดือน ตามที่ อีลอน มัสก์ และนักเทคโนโลยีดังมากกว่าหนึ่งพันคนลงชื่อเข้าร่วม เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล และเป็นไปได้ยากมากๆ
ถ้าอเมริกาหยุดพัฒนา จีน รัสเซีย คงไม่หยุดด้วยแน่
ผู้ที่ได้ลองใช้ ChatGPT จะเริ่มเห็นว่า มันเป็นเครื่องจักรที่มีเหตุผล ดูเหมือนว่า มันสามารถคิดเองได้จริงๆ
สิ่งที่ AI สามารถทำได้ มันมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาล มันทำให้งานต่างๆมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
อีเมลหรือข้อเขียนที่เคยใช้เวลาเขียน 30 นาที วันนี้ทำเสร็จได้ใน 5 นาที ปล่อยให้แชทบอททำ แล้วตรวจทานความถูกต้องอีกครั้ง
งานวิจัยต่างๆ การคิดค้นยา สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือทำให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น
ในอนาคต AI แบบ ChatGPT จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เจฟฟรีย์ ฮินตัน ได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึงหมอที่มีประสบการณ์กับผู้ป่วยนับพันคน จะไม่มีทางเทียบกับหมอ AI ที่มีประสบการณ์กับผู้ป่วยหลายล้านคนได้ เพราะ AI ทำงานได้ดีกว่า มีประสบการณ์มากกว่าคน วินิจฉัยโรคและมีวิธีรักษาที่ได้ผลมากกว่า
การเรียนรู้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ของคนๆหนึ่ง กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญการจริงๆต้องใช้เวลานานมาก ในขณะที่ AI ทุกตัวบนโลก สามารถสื่อสารและถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกันได้ทันที
AI มีความเข้าใจข้อมูลทั้งที่เป็น ข้อเขียน เสียง ภาพ และวิดีโอ
เจฟฟรีย์ ฮินตัน เชื่อว่าระบบการเรียนรู้และการทำงานของ Digital Intelligence ทำงานได้ดีกว่าสมองมนุษย์ และยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลความรู้ระหว่างกันได้ง่ายมาก AI เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นอมตะ
ในประเทศหรือสังคมที่เจริญแล้ว AI จะช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น แต่การเข้าถึงเทคโนโลยีของแต่ละคนในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกัน จะทำให้คนที่รวยอยู่แล้วรวยยิ่งขึ้น และมีคนจนมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะยิ่งทิ้งห่างกันมากขึ้น
เรื่องคนตกงานจำนวนมาก จะเกิดขึ้นแน่ๆ และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่ปีจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นมาก และจะมีงานใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมาก
แต่สิ่งที่ เจฟฟรีย์ ฮินตัน ห่วง คือ คนเลวเอาเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ไม่ดี กองทัพเอา AI ไปพัฒนาเครื่องจักรสังหาร อาจใช้มันไปปั่นหัวผู้คนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ และผู้คนจะไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ข้อความเท็จ ข่าวปลอม วิดีโอหลอกลวง สามารถชี้ทางผิดๆ ปั่นหัวคนได้ และ AI ทำได้ง่ายแบบที่ทุกคนไม่รู้ตัว
เจฟฟรีย์ ฮินตัน ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทางออกของปัญหาจาก AI ควรเป็นอย่างไร รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมต้องมาร่วมกันคิด และกำหนดกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง
ตัวอย่างแนวทางการควบคุมที่สามารถทำได้ เช่น ภาพหรือวิดีโอไหนที่ใช้ AI ทำ จะต้องระบุไว้อย่างชัดเจน ผู้คนจะได้รู้ว่าไม่ใช่ของจริง
ผู้พัฒนา AI ก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์อะไรออกมา ต้องผ่านการทดลองใช้ที่มั่นใจว่า ไม่เป็นอันตรายต่อผู้คน สามารถควบคุมมันได้จริง
การถอดปลั๊กดับเครื่อง AI ที่ดูน่ากลัวให้หยุดทำงาน อาจเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง AI จะรู้ทันมนุษย์ทุกเรื่อง มันเคยอ่านหนังสือทุกเล่ม ดูหนังทุกเรื่อง ฟังพอดแคสต์ทุกชิ้น เคยดูคลิปทุกคลิปที่มีอยู่บนโลก มันเข้าใจโค้ดคอมพิวเตอร์ และเขียนโค้ดได้เอง
เมื่อหลายปีก่อน เจฟฟรีย์ ฮินตัน เคยให้ความเห็นว่า กว่า AI จะฉลาดเท่ามนุษย์คงอีกนาน อาจไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี แต่หลังจากการเกิดของ ChatGPT เขาเริ่มเปลี่ยนความคิดเห็นว่า มันอาจเร็วขึ้นเหลือเพียงแค่ 5-20 ปี
เจฟฟรีย์ ฮินตัน ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่มีความฉลาดเหนือกว่า จะเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่มีความฉลาดน้อยกว่า หรือ โง่กว่า
เรื่องที่มีคนจินตนาการว่า AI จะฉลาดเหนือมนุษย์ เข้าควบคุมมนุษย์ หรือล้างมนุษย์จากโลก เป็นเรื่องที่เป็นไปได้!!!
Social Links