AI Facial Recognition จีนคุมเข้มขึ้น เพื่อความมั่นคงของชาติให้ทำเต็มที่ ห้ามเอกชนไม่ให้ใช้เกินความจำเป็น    

AI Facial Recognition จีนคุมเข้มขึ้น เพื่อความมั่นคงของชาติให้ทำเต็มที่ ห้ามเอกชนไม่ให้ใช้เกินความจำเป็น    

AI Facial Recognition จีนคุมเข้มขึ้น

เพื่อความมั่นคงของชาติให้ทำเต็มที่

ห้ามเอกชนไม่ให้ใช้เกินความจำเป็น    

สุทธิชัย ทักษนันต์

จีนในปัจจุบันมีกล้อง CCTV ทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่คอยสอดส่องประชาชนทั่วประเทศจีนมากถึง 200 ล้านตัว

ใครไม่ข้ามถนนบนทางม้าลาย ถูกขึ้นบอร์ดประจานทันที ทำผิดกี่ครั้งมีบันทึกไว้หมด

คนร้ายหรือคนหนีคดีไปดูคอนเสิร์ตหรืออยู่ในที่สาธารณะ หากกล้องเห็นหน้า แล้ว AI จดจำใบหน้าได้ ตำรวจเข้าจับกุมทันที

Facial Recognition Technology หรือ เทคโนโลยี AI จดจำใบหน้าในประเทศจีน ถูกนำมาใช้ในทุกอย่างตั้งแต่ห้องน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันการขโมยกระดาษชำระ เพื่อทำให้ผู้คนอับอายที่ถูกจับได้ว่าเดินข้ามถนนผิดกฎ เพื่อติดตามผู้อยู่อาศัยในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเพื่อสอดแนมชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในซินเจียงทางตะวันตกไกล ภูมิภาค

ขณะนี้ ฝ่ายบริหารไซเบอร์สเปซของจีนกำลังเปิดการหารือสาธารณะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเกี่ยวกับร่างกฎใหม่ที่จัดทำขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 8-08-2023

ร่างกฎใหม่ยังอนุญาตให้ใช้ในวงกว้างเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงของชาติ พร้อมให้ไฟเขียวในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนา

แต่ในร่างใหม่จะมีการเข้มงวดการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้ากับเอกชน ไม่ให้ใช้อย่างพร่ำเพรื่อเกินสมควร

ร่างกฎใหม่ มีการห้ามใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าในทางที่ผิดโดยหน่วยงาน และในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงธนาคาร สนามบิน โรงแรม สนามกีฬา พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด

หน่วยงานทั้งหมดที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ในพื้นที่สาธารณะหรือที่มีบันทึกการจดจำใบหน้ามากกว่า 10,000 รายการ จะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของตนภายใน 30 วันทำการ ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการใช้เทคโนโลยีและวิธีการจัดการและปกป้องข้อมูลของบุคคลให้ชัดเจน

ภายใต้กฎใหม่ จะยอมให้ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อประมวลผลข้อมูลการจดจำใบหน้าใน “เงื่อนไขบางประการ” และเมื่อมีความจำเป็น “เพียงพอ” แต่ในร่างใหม่ยังไม่มีการระบุว่าเงื่อนไขบางประการเหล่านั้นคืออะไรบ้าง

การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าของปักกิ่งเพื่อสอดแนม เป็นจุดศูนย์กลางของข้อกล่าวหาจากวอชิงตันและพันธมิตรว่า จีนกำลังละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ในซินเจียง

ปักกิ่งปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว โดยกล่าวว่านโยบายในภูมิภาคนี้มุ่งเป้าไปที่การต่อต้านการก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง

ในปี 2019 สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทด้าน AI ของจีน SenseTime, Megvii และ Yitu รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดอย่าง Hikvision และ Zhejiang Dahua Technology เกี่ยวกับบทบาทที่ถูกกล่าวหาในการสอดแนมในซินเจียง รวมถึงเสนอฟีเจอร์ให้ปักกิ่งระบุตัวชาวมุสลิมอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์อื่นๆ

 ไม่ว่าจะโดนใครต่อต้านหรือกล่าวหาอย่างไร หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ จีนก็จะใช้เทคโนโลยี Facial Recognition อย่างเต็มที่

You may also like

อานิสงส์สงครามการค้า หนุนส่งออกไทยเดือน ต.ค.โตพุ่ง  14.6%

  การส่ง