หมอกควัน…ทั้งภาคเหนือ !!
ณรงค์ ปานนอก
ณ ชั่วโมงนี้ ถ้าใครยังไม่ขึ้นไปภาคเหนือ แค่ฟังข่าวอย่างเดียวว่า ไฟป่าและหมอกควันกำลังคละคลุ้งเล่นงานอยู่ เฉพาะที่เชียงใหม่ ลำปางหรือเชียงราย โดยเฉพาะที่เชียงใหม่นั้น ทั้งจุด Hotspot และหรือ pm 2.5 ได้ติดอันดับโลกไปหลายวันแล้ว
ขนาดนายกเศรษฐาได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ถึงริมถนน ก็ได้แค่สั่งการไปตามระเบียบเท่านั้น….หาได้คิดมุกมาตรการดับไฟป่าให้เห็นผลทันท่วงทีไม่
จากวันที่นายกไปเห็นมาด้วยตา จนถึงวันนี้ หมอกควัน-ไฟป่า ก็ยังรุกและเร่งลุกลามตามความอ่อนแอของผู้บริหารชั้นยอดของภาครัฐต่อไป
เราจึงเห็นคนเหนื่อยและร่อแร่ที่สุด คือเจ้าหน้าที่ระดับแบกเครื่องเป่าลมและแบกจอบเสียมเพื่อขุดถากแนวหญ้าให้เตียน เพื่อป้องกันสะเก็ดไฟดีดลามข้ามไปติดป่าข้างเคียง
สูงไปอีกนิดก็เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องประดิษฐ์ถ้อยแถลงออกมาแบบไหน เพื่อให้สื่อสารไปยังประชาชนแล้ว สบายใจขึ้น
แต่ข้อเท็จจริง ไฟป่า(ฝีมือมนุษย์)กำลังลามเผาป่าต่อไป เหมือนร้านเซเว่นฯ ไม่มีชั่วโมงพักเหนื่อยเหมือนเจ้าหน้าที่ป่าไม้หรือฝ่ายกรมอุทยานฯ
ขอบอกความจริงให้ทุกท่านที่อ่านข่าวทราบ ว่า ตั้งแต่อุตรดิตถ์ขึ้นไปถึงเชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน ที่มีชายแดนติดเพื่อนบ้านทุกจังหวัด
มีหมอกควัน-ไฟป่าคละคลุ้งไปทั่วทั้งภาคเหนือ
ภาพที่ส่งมาประกอบนี้ เป็นช่วงเที่ยงวัน วันที่ 6 เมษายน 2567 ที่ อำเภอปง จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นต้นทางต้นแม่น้ำยม ปกติจะเห็นแนวเทือกเขาสูงตระหง่านจากซ้ายจรดขวาของภาพ แต่เที่ยงวันนี้ เราเห็นเพียงแนวยอดไม้ตามแนวราบเท่านั้น
เทือกดอยที่เห็นทอดยาวไกลสุดตา…หายไปหมด
และหายไปทุกวันในหน้าร้อนทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา โดยคาดว่า
ถ้ารัฐบาลยังมัวแต่คิดแก้แบบเดิมๆ เทือกเขาเหล่านี้ในภาคเหนือ ก็คงจะจมหายไปในทะเลหมอกควันต่อไป ต่อไป และต่อไป ๆ
และประเทศไทย ก็จะขึ้นชั้นเป็นประเทศที่หมอกควันหนาอันตรายติดอันดับ Top Ten ประจานโลกต่อไป
นี่หรือครับ! คือ สิ่งที่เราจะต้องรักษาอันดับโลกให้มันยืดเยื้อเรื้อรังนานเท่านาน
ผมเคยหารือกับระดับสูงของกรมที่เกี่ยวกับป่าไม้และอุทยานแห่งชาติมาแล้ว กรมก็ทำได้แค่รับคำสั่งจากหน่วยเหนือไปปฏิบัติเท่านั้น และผลก็คืออย่างที่เห็นในวันนี้
ในฐานะที่ผมเป็นนักเดินทางคนหนึ่ง และเดินทางขึ้น-ลง กรุงเทพ-ภาคเหนือเดือนละ 2 ครั้งโดยเฉลี่ยมานานแรมปี เคยนำองค์กรเล็กๆของสื่ออาวุโสไปปลูกป่าที่ต้นน้ำยมมาหลายปี ผมเห็นสภาพของป่า(ไม่ต้องเข้าลึกไปในป่าดิบ เอาแค่ป่าริมถนนก็พอ ) จาก 1 ปีจนผ่านมา 5 ปี 10 ปี ผมเห็นได้ด้วยสายตาชัดเจนว่า จากสภาพป่าบนดอยริมถนนที่เคยทึบมาก ก็กลายเป็นป่าโปร่ง( เหมือนคนผมดก แล้วโดนยาสระผมที่มีสารเคมีเข้มๆล้างสระเกือบทุกวัน จนวันนี้เส้นผมก็บางลงๆ จนล้านเลี่ยน) และวันนี้ป่าที่ภาคเหนือก็โล้นเตียนไม่ต่างกับคนผมดกโดนยาสระผมแรงๆมานานจนหัวล้านเช่นกัน (ใครไม่เคยหัวล้านแบบนี้ จะไม่รู้สึก แต่คนอยู่ในเมืองใหญ่ๆ จะเจอสภาพแบบนี้)
มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับป่าไม้บางท่านได้เผยตัวเลขป่าถูกเผาปีนี้ เฉพาะที่ภาคเหนือ ประมาณ 100,000 ไร่
คนผมดกไม่ค่อยตกใจ แต่คนหัวล้าน ต้องสำเหนียกได้แล้ว….เผอิญ ผมยังเห็นนายกเมืองไทยหัวยังไม่ล้าน ท่านก็คงยังกล้อมแกล้มฉุยฉายเหมือนเดิม เสมือนคนเป็นหวัด
คือ สั่งขี้มูกต่อไป
แต่ถ้าท่านเกิด”ปิ๊ง” เปลี่ยนวิธีคิด และอยากเห็นว่า ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป มันไม่ใช่แค่ หมอกควัน-ไฟป่าติดอันดับโลกเท่านั้น
แต่ผลที่ตามมาคือ โลกร้อน แผ่นดินไทยซึ่งเคยร่มเย็นเพราะธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในป่าเขามีป่าไม้หนาทึบ สามารถดูดซับภาวะโลกร้อน แผ่นดินที่รุ่มร้อนทั้งประเทศให้อุณหภูมิสูงอย่างมาก ไม่เกิน 35 องศาได้
จะเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาสัมผัสธรรมชาติ ที่ร่มเย็นเขียวขจีไปทุกภูมิภาค
ท่านเศรษฐา ต้อง ” คิดใหม่ ทำใหม่ และทำให้เป็น ความจริง” ขึ้นมาให้ได้
ไม่งั้น เสียชื่อพรรคการเมืองที่ท่านสังกัด และผลักดันให้ท่านขึ้นมาเป็นนายก
พยายามนำหลักคิดแบบ CEO ภาคเอกชน มาปรับเปลี่ยนบริบทให้ปัญหาบุกรุกเผาป่า-ดับหมอกควันให้ได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักบริหารชั้นเซียน
ผมน่ะ เห็นช่องทางและโอกาสเหล่านี้มานานแล้ว ครั้นจะเสนอไปตรงๆ เกรงว่า ท่านจะดูถูกความคิดของชาวบ้านเปล่าๆ
แต่รับรองได้ว่า ง่ายกว่าแจกเงินดิจิตัลหลายเท่า แถมเป็นผลงานที่จับต้องได้ แล้วท่านจะได้มหามิตรที่สำคัญทางการเมืองอีกด้วย !!!
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่
ก็แล้วกัลลลล &&&
Social Links