Agentic Orchestration Layer
ทำให้ AI หลายตัวทำงานร่วมกัน
สุทธิชัย ทักษนันต์
Generative AI โมเดลที่โดดเด่นที่สุดในปัจจุบัน คือ ChatGPT, Claude, Gemini ถือว่าเป็น Fundamental Model ที่นักพัฒนาทุกรายสามารถเอาไปใช้งานได้
แพลตฟอร์มหรือแอพลิเคชันอื่นๆ สามารถตั้งตั้ง API เพื่อใช้ประโยชน์จาก GenAI แต่ละโมเดลได้ และอาจมีการสร้าง GenAI หรือ AI Agent ของตัวเองด้วย ทำให้สามารถทำงานเฉพาะอย่างได้ดีขึ้น
“Agentic Orchestration Layer” เป็นขั้นตอนที่นักพัฒนาสามารถทำให้ AI หลายๆตัว ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด เลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุดจากแต่ละโมเดลได้
AI แต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น บางตัวเก่งด้านการวิเคราะห์ บางตัวเก่งด้านการสร้างภาพ งานบางอย่างต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การใช้ AI ที่เหมาะสมกับงานจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ตัวอย่างการใช้งานจริง เช่น
-GitHub Copilot ใช้ AI เฉพาะทางด้านการเขียนโค้ด ไม่ได้ใช้ AI ทั่วไป
-Microsoft Azure ใช้ AI หลายตัวทำงานร่วมกัน ทั้งด้านภาษา ภาพ และเสียง
-Adobe Firefly พัฒนา AI เฉพาะสำหรับงานครีเอทีฟโดยเฉพาะ
-Salesforce มี AI ที่เก่งเรื่อง CRM โดยตรง ไม่ได้พึ่งพา AI ตัวเดียว
เมื่อ AI หลายตัวร่วมมือกัน ประโยชน์ที่ได้รับ คือ
- สามารถแบ่งงานซับซ้อนเป็นงานย่อยๆ และส่งให้ AI ที่เหมาะสมที่สุดจัดการ
- ประหยัดทรัพยากรโดยใช้ AI ที่เล็กกว่าสำหรับงานง่ายๆ
- รักษาความต่อเนื่องของบริบทแม้จะสลับไปใช้ AI หลายตัว
- ยืดหยุ่นพร้อมรองรับ AI ใหม่ๆ ในอนาคต
Agentic Orchestration Layer กำลังเปลี่ยนวิธีที่องค์กรใช้ AI ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลได้ดีขึ้น ปรับขนาดการใช้งานได้ตามต้องการ
Generative AI โมเดลหลักจากยักษ์เทคทั้งหลาย ไม่ได้เข้ามากินรวบธุรกิจทั้งหมด แต่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับนักพัฒนาทั่วไปด้วย
Opensource ที่เปิดเผยเทคโนโลยี AI ให้ทุกคน ช่วยทำให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Generative AI โมเดลใหม่ของตัวเองได้ หรือจะสร้าง AI Agent ออกมาหลายๆตัวสำหรับงานแต่ละเรื่องโดยตรงก็ได้
อนาคตของ AI จะไม่ใช่แค่การใช้ AI ตัวเดียวอีกต่อไป แต่จะเป็นการผสมผสาน AI หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละงาน!
Social Links