ท่ามกลางข่าวดี?

ท่ามกลางข่าวดี?

ท่ามกลางข่าวดี?

 

            ท่ามกลางข่าวดีมากมาย จะมีข่าวร้ายซุกซ่อนหรือไม่? เป็นเรื่องที่ผมกำลังให้ความสนใจและจับจ้องอยู่ในยามนี้ แน่นอนว่าเราคนไทยย่อมรู้สึกดีใจ เมื่อองค์กรระดับโลกอย่างธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนจากเดิม…อันดับ 49 เป็น 46 เมื่อปีก่อน และขึ้นเป็นอันดับ 26 ในปีนี้พรวดเดียว 20 อันดับ ขณะที่กรุงเทพมหานครเอง ก็ถูกระบุจากองค์กรด้านการท่องเที่ยวยุโรป ยกให้เป็น…จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ได้มาเยือนมากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากฮ่องกง ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีถึง 21.25 ล้านคน

            นี่ยังไม่นับรวมตัวเลขเศรษฐกิจ “ภาพบวก” ที่ออกมาจากฝั่งรัฐบาล คสช.และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการส่งออกที่ขยายตัวขึ้น รายได้จากการท่องเที่ยวที่สูงขึ้น และสารพัดข้อมูลที่อัดใส่ให้คนไทยหลงใหลได้ปลื้มไปกับสิ่งที่พวกเขาจับต้องได้ยาก อย่างน้อยก็ยากกว่านายทุนและนักธุรกิจระดับชาติ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร และอีกหลายกลุ่มบริษัทขนาดยักษ์ที่มีเครือข่ายธุรกิจมากมาย และจับต้องผลกำไรได้เป็นกอบเป็นกำและเป็นรูปธรรมชัดเจนกว่า แค่กลุ่มธนาคารใหญ่ 6 แห่ง ฟันกำไรในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้ ก็ทะลุ 1.38 แสนล้านบาทแล้ว ถ้านับรวมไตรมาสสุดท้ายของปี กำไรส่วนนี้อาจจะทะลุถึง 2 แสนล้านบาท

            และหากนับรวมเครือข่ายธุรกิจขนาดยักษ์ เช่น “กลุ่ม 2 เจริญ” ทั้งเจริญโภคภัณฑ์ และนายเจริญ สิริวัฒนภักดี รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในตระกูลเจ้าสัวใหญ่ 100 อันดับต้นๆ ของไทยที่มีรวมกัน ผมคาดเองว่า…พวกเขาก็น่าจะฟาดกำไรจากเงินในกระเป๋าคนไทยและคลังเงินของรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน

            ผมเองผ่านเหตุการณ์รัฐประหารมาหลายครั้ง ได้อ่านประวัติศาสตร์ข่าวในอดีตมาก็เยอะ เห็นปรากฏการณ์บางอย่างที่น่าสนใจ นอกจากกลุ่มนายทหารบางกลุ่ม? จะมีฐานะอู้ฟู่ขึ้นแล้ว กลุ่มเครือข่ายธุรกิจขนาดยักษ์ที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกลุ่มอำนาจ ณ ขณะนั้น ต่างก็เจริญเติบโต ขยายเครือข่ายกิจการทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงสร้างผลกำไรมากมายมหาศาลในยุคหลังรัฐประหาร ท่ามกลางภาวะ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ของธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่ไร้เครือข่ายขั้วอำนาจสนับสนุน แน่นอนภาวะดังกล่าวย่อมต้องรวมถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ด้วย

            อีกปรากฏการณ์ที่อยากจะกระตุ้นเตือนเพื่อนร่วมชาติให้ฉุกคิด! ก็คือ สถานการณ์ความแตกต่างระหว่างสินค้าที่จำเป็นและไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนไทย อย่างแรก…ระดับราคาค่อนข้างจะทรงและคงที่ แต่ก็มีอีกหลายรายการที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น…กลุ่มข้าวสาร อาหารแห้ง และของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ขณะที่กลุ่มหลัง คือ สินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาทิ เสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ กลับมารายการ “ลด แลก แจก แถม” กันแบบมโหฬาร ครั้นจะบอกว่า…เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นปลายปี ที่ทุกค่ายจำต้องลดราคาประจำปี ก็คงไม่ใช่ เพราะปรากฏการณ์นี้…เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปีแล้ว และหากจะลดราคาประจำปีจริงๆ เหตุใดไม่นับรวมกับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตด้วยเล่า?

            มี “ผู้รู้” ทำการถอดรหัสปรากฏการณ์นี้ให้ผมฟัง…นั่นเพราะนักลงทุน นักธุรกิจ และบรรดาเจ้าสัวตระกูลเศรษฐี-มหาเศรษฐีส่วนใหญ่ ต่างมองเห็นอนาคตอันใกล้ของประเทศไทย เป็นอนาคตที่ไม่ค่อยจะมั่นคงนักและอาจจะไปไกลถึงขั้นเป็นปรากฏการณ์พลิกผัน! ชนิดหามาตรวัดใดๆ มาทำการตรวจวัดไม่ได้ พวกเขาจึงต้องเร่งระบายสินค้าที่ไม่จำเป็น เพื่อเก็บเงินสดในมือให้มากที่สุด ขณะที่สินค้าในกลุ่มของกินของใช้ที่จำเป็น ต่างปรับราคาเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า เนื่องจากชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า…จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องหาซื้อมากินมาใช้ มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

            ถึงตรงนี้…ใครจะคิด จะเห็น จะเชื่ออะไร? หรือไม่? อย่างไร? ก็สุดแต่ใจเถอะครับ แต่หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จ ผมคงต้องไปหาซื้อสินค้าและของใช้ที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง เครื่องกระป๋อง และของใช้จำเป็นอื่นๆ กักเก็บเอาไว้บ้าง เผื่อเหลือ…ก็ดีกว่าเผื่อขาดนั่นแหละ!.

 

สุเมธ จันสุตะ

You may also like

EBC ชูบทบาท AI พลิกโฉมการเทรดระดับโลกและเศรษฐกิจไทย

EBC ชูบท