ไทยรับโบนัสจากโควิด ระวัง “การ์ดอย่าตก”!
ณรงค์ ปานนอก
เป็นที่รู้ชัดกันแล้วว่า ผลจากการพลิกวิกฤติแก้ปัญหาโรคร้ายหวัดโควิด –19 ที่ไทยทำท่าจะลงเหวตามการแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่น และทำให้คนป่วย – ตายในหลายประเทศไปเป็นพันเป็นหมื่นคนนั้น เคราะห์ดีที่รัฐบาลสามารถกู้วิกฤติคืนมาได้อย่างหวุดหวิด
เพียงพลิกสถานะทาง“การเมือง”ไปหลบอยู่แถวหลัง แล้วสลับทัพ “การหมอ”ให้มาแสดงบท “กู้ชีวิต”ที่เห็นแววว่าจะเพลี่ยงพล้ำอยู่รอมร่อ ให้กลับมาเป็น “พระเอก”สกัดสงครามสยองของโรคโควิด – 19 หยุดชะงักในเวลาที่เร็วเกินคาด
ด้วยวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญแบบ “ถูกคน ถูกโรค”ของบรรดาคุณหมอทั้งหมอเก่าและหมอใหม่ ร่วมกับคุณพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และที่ลืมไม่ได้เลย คือ กองทัพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ( อสม. )ที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงของหมู่บ้านกว่าล้านคน ซึ่งคอยเป็นหูเป็นตาขับเคลื่อนป้องกันโรคร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญของชาวต่างชาติว่า ประเทศไทยบริหารการแก้โรคได้อย่างถูกทาง เมื่อเปรียบกับชาติอาเซียนด้วยกัน ยิ่งเมื่อเทียบกับชาติยุโรปหรืออเมริกาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดความรุนแรงลงได้ด้วยแล้ว ก็ยิ่ง “ไม่เห็นฝุ่น”กันเลยทีเดียว
ทำให้เชื่อได้ว่า ผลงานสกัดโรคโควิดอย่างได้ผล จะเป็นคุณูปการไปสู่อนาคตใกล้ๆนี้ว่า ถ้าสถานการณ์โรคระบาดเบาบางลงแล้ว ชาวต่างชาติไม่ว่าจะเชื้อชาติไหนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวหรือติดต่อการค้าพาณิชย์ จะพากันแห่เข้ามาในแผ่นดินไทยอย่างคึกคักหนักกว่าเดิม
ถ้าเป็นฟากฝรั่งตาน้ำข้าว ก็จะพอใจในด้านสาธารณสุขอันยอดเยี่ยมของหมอไทย
ถ้าเป็นชาวเอเชียด้วยกัน ก็จะแสดงน้ำใจมีมิตรไมตรีที่จริงใจกันมากขึ้น
นอกจากผลข้างต้นแล้ว เมืองไทยยังมีความดีและของดีในตัวเองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินที่ต่างชาติรู้ดีว่า เราเป็น “ครัวโลก”ของจริง ซึ่งมีพืชพันธุ์ธัญญาหารหลายร้อยรส ทั้งอร่อยและเป็นแหล่งสมุนไพรเพื่อสุขภาพนับพันโรค ( แก้หวัด มะเร็ง เอดส์ รวมทั้งโควิดนี่ก็เถอะ )
เรื่องอดตาย ไม่มีแน่ ( เว้นแต่เลือกมาก )
พฤติกรรมดั้งเดิมของคนไทย เป็นที่รู้มานานว่า ยิ้มแย้มรับแขกถึงขั้นเกรงใจแขกด้วยซ้ำ แถมยังโอบอ้อมเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันเสมือนญาติ ( ซึ่งต่างชาติก็มีน้ำใจไม่เท่าคนไทย )
ป่าไม้และอากาศดีมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอยู่ทั่วประเทศ ( แม้ปัจจุบันจะถูกบางคนบางกลุ่มกำลังหลงผิดไปบุกรุกเผาป่ากันมากขึ้น ) ซึ่งเป็นสวรรค์บนดินที่ชาวต่างชาติหลงใหลอยากเข้ามาสัมผัสใกล้ชิด
ในสภาพที่บ้านเมืองกำลังวิกฤติต่อสู้กับโรคร้ายอยู่นี้ ก็บังเกิด 2 ปรากฏการณ์ คือ เกิดกลุ่มคนมีเงินได้บริจาคอาหารช่วยคนตกงาน กลุ่มเศรษฐีช่วยกันผลิตอุปกรณ์ป้อนฟรีทางการแพทย์ ขณะเดียวกัน ชาวบ้านที่บ้านเดิมอยู่ชนบท ( ไม่ติดโรค )ก็กลับไปใช้ชีวิตสมถะแบบปลูกพืชผักหลากพันธุ์ทำมาหากินหลบโรคร้ายด้วยวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
ลดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ลดการพบปะบันเทิงกันแบบหัวราน้ำ หยุดใช้เงินและอดออมไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเก่า เลิกเที่ยวเตร่แบบอยู่บ้านไม่ติด อยู่ยังชีพด้วยความสงบ ใช้สื่อสารด้วยเทคโนโลยีมือถือ ทำงานที่บ้านส่งงานทางอากาศ จนค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งเดินทางลดลงไปเพียบ ฟากรัฐบาลก็ช่วยลดค่าไฟฟ้าค่าน้ำประปา มีเงินเยียวยาบ้าง แม้จะวุ่นวายด้านข้อมูลที่ค่อนข้างห่วยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
สรุป หลังโรคระบาดได้สร่างซาลงในอีกไม่ช้าไม่นานนี้ ( ตีเสียว่า พ้นเดือนพฤษภาคมไปแล้ว )ประเทศไทยคงเป็น “แผ่นดินหอมหวล”ของชาวต่างชาติเป็นที่สุด
ถือว่า เมืองไทยคงได้รางวัลโบนัสจากความร่วมมือของคนไทยด้วยกันจนได้รับความชื่นชมเป็นผลงานโดดเด่น เป็นที่เชื่อถือของต่างชาติในระดับสูงสุดประเทศหนึ่งเลยก็ว่าได้
และด้วยผลงานอันเอกอุนี้เอง ที่เราคนไทยด้วยกัน รวมทั้งรัฐบาลต้องเตรียมตัวและระมัดระวังขั้นสูงสุดอีกเช่นกัน
นั่นคือ “การ์ดอย่าตก”
ใช่ครับ – ระบบคัดกรองเรื่องโรคหวัดระบาดยังต้องเข้มเขี้ยวเหนียวแน่นต่อไป ยิ่งชาวต่างชาติที่มาจากยุโรปหรืออเมริกา ต้องบังคับให้ใส่หน้ากากรัดกุมกันต่อ ( ต้องไม่อ้างสิทธิ์โวยวายใช้เสรีภาพจนเลี่ยน ใครฝ่าฝืนก็ส่งกลับสถานเดียว )
“การ์ดอย่าตก”เรื่องอภิสิทธิ์ในการทำธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการให้สิทธิครอบครองที่ดิน การรับอ้างจ้างแต่งงานกับคนไทยเพื่อหวังเปลี่ยนสัญชาติไทยแล้วได้ทำมาหากินอย่างเสรี( มีเป็นขบวนการ )
“การ์ดอย่าตก”กับชาวต่างชาติประเภทที่ชอบมา “ตกเขียวผลผลิตของเกษตรกรไทย”รวมทั้งก่อตัวเป็นกลุ่มอิทธิพลครอบงำสินค้าเกษตรไทยแบบ “ล้งจีน”ในหลายจังหวัด
สำคัญที่สุด “การ์ดอย่าตก”กับกลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาครอบงำเศรษฐกิจขนาดใหญ่ กลางและเล็ก จนผู้มีอำนาจในรัฐบาลแอบสมคบคิดกันมีผลประโยชน์แอบแฝงไปทุกช่องทางของระบบราชการ
ยังมีอีกหลายมุมที่น่าวิตก เพราะความใจง่าย ไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่และจิตสำนึกของความเป็นคนไทยนี่แหละ ที่เกิดโอกาสดีๆจากวิกฤติโรคร้ายจนรับ “โบนัสแสนงาม”แล้ว
แต่โบนัสเหล่านี้ จะถูกเสพติดเหลิงหลงจนสำลักกลายเป็นยาพิษแก่แผ่นดินไทยในระยะถัดไป ไม่ต่างกับยุคต้มยำกุ้ง…หรืออาจกลายเป็นวิกฤติสยดสยองยิ่งกว่ายุคคุณโกวิดนี่ก็ได้ !!!
Social Links