SUS โหมรุกตลาดไทย ชูธงผู้นำตลาดแปลงขยะเป็นพลังงาน เดินหน้าโมเดลบูรณาการเทคโนโลยี การผลิตและบริการ

SUS โหมรุกตลาดไทย ชูธงผู้นำตลาดแปลงขยะเป็นพลังงาน เดินหน้าโมเดลบูรณาการเทคโนโลยี การผลิตและบริการ

SUS โหมรุกตลาดไทย

ชูธงผู้นำตลาดแปลงขยะเป็นพลังงาน

เดินหน้าโมเดลบูรณาการเทคโนโลยี การผลิตและบริการ

 ท่ามกลางกระแสความร่วมมือระดับโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีการแปลงขยะให้เป็นพลังงาน (Waste-to-Energy: WtE) ได้กลายเป็นแนวทางสำคัญในการรับมือกับความท้าทาย 2 ประการของประเทศไทย ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการจัดการขยะในเขตเมือง ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาในไตรมาสที่ 3 ของรัฐบาลไทย ได้กำหนดให้มีการพัฒนาโรงงานแปลงขยะเป็นพลังงานแห่งใหม่จำนวน 39 แห่ง โดยมีกำลังการแปรรูปขยะทั้งสิ้น 168,211 ตันต่อวัน

ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายในต่างประเทศแห่งแรกของบริษัท SUS ในช่วงเวลานั้น แม้ว่าตลาดไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งครองตลาดอยู่ก่อนแล้ว ด้วยการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้เป็นจุดแข็งหลัก SUS จึงได้ปรับใช้กลยุทธ์ระยะยาว โดยจัดตั้งนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย พร้อมเปิดสำนักงานตัวแทนเพื่อเสริมเครือข่ายการดำเนินงานในพื้นที่ให้มั่นคงยิ่งขึ้น

ความมุ่งมั่นระยะยาวนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 บริษัท SUS ได้จัดหาอุปกรณ์ให้แก่สายการเผาขยะรวมทั้งหมด 12 สาย จากจำนวนทั้งหมด 39 สายในประเทศไทย คิดเป็นกำลังการแปรรูปขยะรวม 7,100 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 35% ส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการจัดหาเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับการเผาขยะในประเทศไทย

ตำแหน่งผู้นำตลาดนี้มีพื้นฐานมาจากความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี การผลิต และบริการที่ SUS ได้พัฒนาและปรับปรุงโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง

เทคโนโลยีตะแกรงเผาขยะขนาดใหญ่ (large-grate technology) ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ช่วยให้การเผาไหม้มีประสิทธิภาพสูง ให้ความเสถียรด้านความร้อนที่เหนือกว่า และกากเถ้าที่เหลือมีอัตราการสูญเสียจากการเผาไหม้ (loss-on-ignition rate) ต่ำ เมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกรวมเข้ากับระบบผลิตไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง จะสามารถเพิ่มผลผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนอีกด้วย นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Digital Twin ยังทำให้สามารถปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์และรวบรวมสะสมข้อมูลที่มีค่าได้ ส่งผลให้กระบวนการเผาขยะมีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีดังกล่าว SUS ได้ดำเนินการศูนย์การผลิตขนาด 50,000 ตารางเมตร โดยมีกำลังการผลิตต่อปีจำนวน 200 ระบบตะแกรงเผา (แต่ละระบบรองรับขยะได้ 500 ตันต่อวัน) ระบบเหล่านี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน CE Certification ตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU CE standard) โดยมีทีมบริการหลังการขายมืออาชีพที่ให้การตอบสนองอย่างรวดเร็วภายใน 2 ชั่วโมง และให้การสนับสนุนหน้างานภายใน 48 ชั่วโมง

โมเดลแบบบูรณาการที่ผสาน “เทคโนโลยี + การผลิต + การบริการ” นี้ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดไทย โดยมีหลักฐานที่แสดงถึงความสำเร็จดังกล่าว คือการเข้าซื้อกิจการของบริษัทผู้นำในท้องถิ่นอย่าง Super Earth Energy 1 Co., Ltd. ในปี 2567 และการเริ่มก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขยะนนทบุรี (Nonthaburi WtE Plant) ในเวลาต่อมา ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ SUS จึงพร้อมที่จะเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่ในการขยายธุรกิจทั่วประเทศไทยและตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในวงกว้าง

เกี่ยวกับ SUS Environment

SUS ENVIRONMENT เป็นผู้ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรชั้นนำระดับโลก *ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัท SUS ENVIRONMENT ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการ 11 แห่งทั่วโลก ซึ่งให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานแก่ผู้คนกว่า 100 ล้านคน บริษัทได้ลงทุนและก่อสร้างโครงการแปลงขยะเป็นพลังงาน (นิคมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำเชิงนิเวศ) จำนวน 90 โครงการ โดยมีกำลังการแปรรูปขยะมูลฝอยชุมชนเกือบ 120,000 ตันต่อวัน และกำลังผลิตพลังงานสีเขียวที่ราว 18,000 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี อุปกรณ์และเทคโนโลยีของบริษัทถูกนำไปใช้ในโรงงานแปลงขยะเป็นพลังงานกว่า 300 แห่งทั่วโลก โดยมีกำลังการแปรรูปขยะมูลฝอยชุมชนกว่า 300,000 ตันต่อวัน*

You may also like

เจาะลึกเทคนิครักษา “ข้อเข่าเสื่อม” กับแพทย์เฉพาะทาง “เอส สไปน์ แอนด์ จอยท์”

เจาะลึกเ