Tokyo 2020 Olympics ..ท่ามกลางโควิด
สร้างเงินหรือสร้างหนี้!
ไทยลุ้นรับอานิสงค์ส่งออกไปญี่ปุ่น
……………………………………………………………………………………………………
การจัดงานโตเกียวโอลิมปิกกำหนดการเดิมคือปี 2563 แต่เลื่อนมาเป็นปี 2564 ท่ามกลางโควิด-19 ที่ยังระบาดหนักในญี่ปุ่น แม้จะมีบางฝ่ายคัดค้านเนื่องจากกังวลว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงอีก แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ยืนยันจัดงานตามแผนแม้จะไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ แต่หากยกเลิกการจัดงานจะยิ่งสูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ กระทบต่อหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังทำให้พลาดโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าภาพงานกีฬาระดับโลกที่รอคอยมานาน
การจัดงานโอลิมปิกส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นค่อนข้างจำกัดทั้งยังทำให้ญี่ปุ่นประสบภาวะขาดทุนซ้ำเติมภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2564 ก็น่าจะกลับมาประคองการเติบโตได้ที่ร้อยละ 2.6 จากฐานที่ต่ำในปีก่อนและแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคการส่งออกที่ขยายตัวดี แม้จะยังมีปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืดเรื้อรังที่มีอยู่ก่อนหน้าและกำลังซื้ออ่อนแรงลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในเวลานี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มเร่งตัวสูงอย่างมาก หากหลังสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกยังไม่สามารถควบคุมได้ อาจฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้เติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้
อานิสงส์ส่วนเพิ่มจากการจัดงานโอลิมปิกส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างจำกัด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้โควิด-19 ยังคงระบาดอยู่ แต่กำลังซื้อของญี่ปุ่นเริ่มฟื้นกลับมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหนุนให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในปี 2564 จะกลับมาเติบโตได้ครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 12.2 มีมูลค่าการส่งออกทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 25,600 ล้านดอลลาร์ฯ (กรอบคาดการณ์ขยายตัวร้อยละ 11.0-13.1 มีมูลค่า 25,300-25,800 ล้านดอลลาร์ฯ) สินค้าสำคัญของไทยกลับมาทำตลาดได้ดีขึ้น อาทิ รถยนต์/ส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ
………………………………………………………………………………………………………..
งานมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น (Tokyo 2020 Olympics) กำหนดเดิมจัดขึ้นในปี 2563 แต่เลื่อนมาเป็นเวลา 1 ปี จนในที่สุดการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคม-8 สิงหาคม 2564 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นับเป็นบทพิสูจน์ของญี่ปุ่นในการจัดงานภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โอลิมปิก ซึ่งการได้เป็นเจ้าภาพในงานสำคัญระดับโลกไม่เพียงช่วยโปรโมทประเทศยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังเช่นในอดีตที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี ค.ศ.1964 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการจัดงานในครั้งนั้นส่วนหนึ่งสร้างรายได้เข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และญี่ปุ่นยังใช้การจัดงานเป็นประจักษ์พยานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจนสามารถผงาดขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร) ภายในเวลาเพียง 4 ปี
การจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดในญี่ปุ่นที่ยังมีผู้ติดเชื้อทะลุ 5,000 คนต่อวัน แต่แรงกดดันทางการเมืองผลักดันให้รัฐบาลของนายโยชิฮิเดะ ซูกะ เดินหน้าจัดการแข่งขันขึ้นมาจนได้ โดยต้องจำกัดผู้เข้าร่วมงานเพื่อลดความเสี่ยงของโควิด-19 ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากชาวญี่ปุ่นกว่าร้อยละ 40 ที่ไม่ต้องการให้จัดเนื่องจากกลัวว่าโควิด-19 จะยิ่งลุกลามหนักขึ้น ประกอบกับและแรงกดดันของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งถ้าหากนายซูกะไม่สามารถเดินหน้างานแข่งขันโอลิมปิกไปพร้อมกับการรับมือโควิด-19 นี้ได้สำเร็จ อาจยิ่งส่งผลต่อคะแนนนิยมเพื่อคว้าชัยในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในสมัยถัดไปที่จะจัดในวันที่ 22 ตุลาคม 2564
การจัดงานโตเกียวโอลิมปิกนับว่ามีมูลค่าการลงทุนสูงในลำดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์โอลิมปิก (ใกล้เคียงกับลอนดอนโอลิมปิกปี 2555) ในขณะที่การจัดงานครั้งนี้มีข้อจำกัดหลายด้านน่าจะส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องรับภาระขาดทุนอย่างหนักจากการจัดงานนี้ โดยนับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดงานก็มีค่าใช้จ่ายในการประมูลที่สูงอยู่แล้วเมื่อรวมกับการเตรียมความพร้อมสถานที่แข่งขัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลื่อนการแข่งขันเป็นระยะเวลา 1 ปี รวมแล้วเป็นวงเงินลงทุนสูงไม่ต่ำกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเมืองโซซิ ที่รัสเซียปี 2557 ที่มีต้นทุนการจัดงานสูงสุดเป็นอันดับ 1 ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ฯ ตามมาด้วยโอลิมปิกเมืองปักกิ่ง ที่จีนปี 2551 มีต้นทุน 44 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่การยกเลิกการจัดงานกลับมีต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอีก กระทบต่อธุรกิจเป็นวงกว้างและไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม โดยในทางกฎหมายคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) กำหนดให้ญี่ปุ่นต้องจัดการแข่งขันในฐานะเจ้าภาพ แม้ญี่ปุ่นจะมีสิทธิยกเลิกการแข่งขันได้แต่ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมไม่ต่ำกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ฯ ประกอบด้วยต้นทุนการเตรียมงานที่สูญเสียไปแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายในการผิดสัญญากับ IOC ในกรณียกเลิกการแข่งขัน รวมทั้งค่าเสียโอกาสที่เกิดกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน โดยเฉพาะบริษัทประกันที่จะต้องจ่ายค่าสินไหมจากการยกเลิกเป็นวงเงินราว 2-3 พันล้านดอลลาร์ฯ ให้แก่ สปอนเซอร์ ผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด รวมถึงองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายร้อยราย
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 หลังจบงานแข่งขันโอลิมปิกครั้งประวัติศาสตร์ อาจมีผลอย่างมากฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากนี้ ด้วยการแข่งขันที่มีนักกีฬาจากทั่วโลกเข้าร่วมประมาณ 22,000 คน ในจำนวนดังกล่าวก็ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ยิ่งเพิ่มความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศที่ขณะนี้ญี่ปุ่นยังคงประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อสกัดการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มอย่างรวดเร็วต่อเนื่องอยู่ที่ 5,366 ราย ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ซึ่งใกล้เคียงระดับสูงสุดที่ราว 7,000 รายในช่วงการระบาดระลอก 2 และระลอก 3 นอกจากนี้ การกระจายวัคซีนในญี่ปุ่นก็ยังมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับประเทศอื่นมีผู้ได้วัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ร้อยละ 35.25 จากจำนวนประชากร 126 ล้านคน
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การจัดงานมหกรรมกีฬาโลกครั้งสำคัญไม่น่าจะช่วยเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้ ทั้งยังสร้างภาระหนี้ที่มาจากการลงทุนเตรียมงานมหาศาลในช่วงที่ผ่านมายิ่งส่งผลกดดันทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2564 คาดว่า จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.6 ด้วยแรงขับเคลื่อนภาคการส่งออกโดยเฉพาะตลาดจีนและสหรัฐฯ และอานิสงส์จากฐานที่ต่ำสุดในรอบทศวรรษที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวลงถึงร้อยละ (-)4.8 ในปี 2563 ขณะที่การระบาดของโควิด-19 จะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตต่ำกว่าที่คาด ถ้าหากหลังสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกยังไม่สามารถดึงยอดผู้ติดเชื้อให้ลดลงมาได้ เนื่องจากในเวลานี้การระบาดระรอกที่ 4 มีสัญญาณเร่งตัวอย่างน่ากังวล และการจัดงานโอลิมปิกยิ่งทวีความท้าทายในการความคุมสถานการณ์
ดังนั้น อานิสงส์ส่วนเพิ่มจากการจัดงานโอลิมปิกส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างจำกัด ในขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์หลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่อาจนำมาสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า โดยการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีมูลค่า 12,565 ล้านดอลลาร์ฯ กลับมาเติบโตดีถึงร้อยละ 12.6 (YoY)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจญี่ปุ่นประกอบกับฐานที่ต่ำจากการผ่านพ้นช่วงวิกฤตของโควิด-19 มีส่วนทำให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นปี 2564 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 12.2 เป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบ 3 ปี (จากในปี 2563 ที่หดตัวร้อยละ 7.0) แตะมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 25,600 ล้านดอลลาร์ฯ (กรอบคาดการณ์ที่ขยายตัวร้อยละ 11.0-13.1 มีมูลค่าการส่งออก 25,300-25,800 ล้านดอลลาร์ฯ) โดยสินค้าส่งออกของไทยฟื้นตัวถ้วนหน้า อาทิ รถยนต์/ส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และคอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ
Social Links