กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 32.90-33.70
ผันผวนตามราคาทองคำ
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.90-33.70 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.44 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.10-33.47 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 6 เดือนตามราคาทองคำตลาดโลกที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ทางด้านประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ให้ความเห็นว่าการที่รัฐบาลสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีศุลกากรต่อประเทศต่างๆในอัตราที่สูงเกินคาดอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและถ่วงเศรษฐกิจลง พร้อมกล่าวว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจทำให้ภารกิจของเฟดเผชิญความท้ายทายมากขึ้น ส่วนธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ย 25bps เป็น 2.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 7 ในวัฎจักรนี้ โดยอีซีบีระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนถูกผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 904 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรมากถึง 31,160 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯและการเจรจากับประเทศคู่ค้า รวมถึงข้อมูล PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนเมษายนของยูโรโซนและสหรัฐฯ โดยนอกเหนือจากประเด็นภาษีศุลกากรของทรัมป์ซึ่งทำให้ตลาดการเงินระส่ำระสายแล้ว ท่าทีคุกคามครั้งล่าสุดของผู้นำสหรัฐฯต่อความเป็นอิสระของเฟดยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการในการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ทั้งนี้ วาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของพาวเวลล์จะสิ้นสุดลงในปี 69 ขณะที่ทรัมป์ขู่จะปลดเขาออกเนื่องจากไม่ยอมลดดอกเบี้ย อนึ่ง ค่าเงินบาทจะยังคงได้รับอิทธิพลสูงจากราคาทองคำตลาดโลกในระยะนี้
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ประเมินผลของสงครามการค้าต่อไทยว่าความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯจะอยู่ในระดับสูงและยืดเยื้อ โดยผลกระทบจะส่งผ่านช่องทางหลัก ได้แก่ ตลาดการเงินผันผวนสูง การตัดสินใจลงทุนชะลอออกไป ส่งออกจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าไทยจะเผชิญกับการแข่งขันรุนแรง และเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลงจากปัจจัยด้านอุปทาน ความเห็นของทางการที่ว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นในบางภาคส่วน (Sector) และการเน้นย้ำปัญหาด้านอุปทานดังกล่าวสะท้อนแนวคิดที่ว่ามาตรการที่ตรงจุดอาจมีประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้เครื่องมือดอกเบี้ยนโยบาย
Social Links