จับตาดูการเมืองเรื่องยุ่ง ๆ ของ "กฎหมายประชามติ" และ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ??
นายจักรยาน
การเมืองไม่ยุ่งก็ไม่ใช่การเมือง เพราะทุกประเทศไม่ว่าการเมืองในระบอบการปกครองอะไร ก็ยุ่งกันทั้งนั้น
เหตุการยุ่งกันเข้าไว้ของการเมือง มองได้สองมุมทั้งมุมดีและมุมไม่ดี ก็อยู่ที่การคิดพิจารณาอย่างมีสติสัมปชัญญะของประชาชนทั้งมวลว่า สิ่งไหนที่ยุ่งแล้วดีหรือสิ่งไหนที่ยุุ่งแล้วเลวร้ายต่อประเทศชาติบ้านเมือง
สำหรับการปรับ ครม.ของ "ลุงตู่" ทดแทนรัฐมนตรีสาย กปปส.ที่ต้องกระเด็นจากเก้าอี้จากคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาให้มีโทษจำคุก ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรือทำให้มีความยุ่งเหยิงต่อรัฐบาล "ลุงตู่"
แต่ก็มีเรื่องยุ่งเล็กน้อยตามประสาการเมืองที่ต้องยุ่ง ก็คือมีการวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้ง "นางสาวตรีนุช เทียนทอง" ส.ส.สระแก้ว พรรค พปชร. หลานสาวของ "ป๋าเหนาะ เทียนทอง" ผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองคนหนึ่งของประเทศว่า จบทางด้านเศรษฐศาสตร์มา แล้วจะมาทำงานเรื่องการศึกษาได้หรือ
ทว่ามีเสียงแย้งมาว่า ผู้ที่เข้ามานั่งเก้าอี้ในกระทรวงต่าง ๆ นั้น ไปทำหน้าที่บริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลจนเกิดผลสัมฤทธิ์
ไม่ใช่ติดยึดในความคิดว่า กระทรวงศึกษาธิการ ต้องเป็นผู้ที่รู้เรื่องการศึกษา และเคยเป็นครูบาอาจารย์มาก่อนจึงจะเหมาะสม แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้การศึกษาสะดุดหยุดลง เนื่องจากทำให้เกิดความยุ่งยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้าราชการระดับเบิ้ม ๆ ในกระทรวงศึกษาธิการต่างออกมาประสานยินดีต้อนรับ "นางสาวตรีนุข เทียนทอง" รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ ไม่มีบุคคลใดคัดค้านหรือประท้วงแต่ประการใด
พร้อมทั้งแสดงความภาคภูมิใจที่กระทรวงศึกษาธิการของคณะ "ลุงตู่" ครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกให้แก่กระทรวง คือมี รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยอีก 2 คนเป็น "สุภาพสตรี" ทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ลืมกัน ก็ขอเอ่ยชื่อ รัฐมนตรีช่วยของกระทรวงศึกษาธิการ 2 คนให้จดจำกันได้แม่น ๆ พร้อม ๆ ไปกับชื่อของ "นางสาวตรีนุข เทียนทอง"!!
คนแรกที่มี่อายุอาวุโสสูงสุดที่อยู่ในวัยเลยเลข 7 ใกล้ ๆ จะเลข 8 อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" จากพรรค ปชป.
รัฐมนตรีหญิงอีกคนที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่คือ "นางสาวกนกวรรณ วิลาวัลย์" จากพรรคภูมิใจไทย ทายาทนักการเมืองดังแห่งปราจีนบุรี "สุนทร วิลาวัลย์" ซึ่งปัจจุบันนี้ได้รับเลือกจากประชาชนให้นั่งเก้าอี้ นายก อบจ.ปราจีนบุรี
ส่วน "นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์" ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รมว.ดิจิทัลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หรือเรียกขื่อย่อให้จำกันได้คือ ดีอีเอส คนใหม่ จบทางด้านวิศวะมา ก็เลยไม่มีเสียงตอดนิดตอดหน่อยให้เกิดความยุ่ง
เรื่องการสลับเก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์กับคมนาคม ระหว่าง พรรค ปชป. กับ พรรคภูมิใจไทย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เนื่องจากทั้ง 2 พรรคยินดีที่จะสลับตำแห่น่งกัน เพื่อความเหมาะสมของพรรคตนเองที่เป็นเจ้ากระทรวงอยู่??
ทั่้งนี้และทั้งนั้น พรรค ปชป. คงเห็นว่า รัฐมนตรีช่วยคมนาคมของ พรรคนั้น ไม่สามารถทำชื่อเสียงของแก่พรรคได้ เพราะไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในหน่วยงานเจ๋ง ๆ
ซึ่งก็เช่นเดียวกับ พรรคภูมิใจไทย ที่เห็นว่า รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ของพรรค ไม่ได้รับผิดชอบหน่วยงานที่จะทำให้พรรคตัวเองมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นประการ ความชื่นชมยินดีต่าง ๆ ไปอยู่ที่เจ้ากระทรวงของพรรค ปชป.!!
ด้วยเหตุฉะนี้ การสลับเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยของพรรค ปชป.กับพรรคภูมิใจไทย จึงสมประโยชน์ทั้งสองพรรคที่ไม่ทำให้มีปัญหาการเมืองในเรื่องยุ่ง ๆ ในภายหน้า
ดังนั้นจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ติดตามมาว่า การสลับเก้าอี้นั่งในโควค้าของพรรค เหมือนเป็นการ "กินรวบ" ทั้งกระทรวง??
ซึ่งความหมาย "กินรวบ" ก็ขอให้สาธุชนคิดกันเอาเองว่าจะคิดไปทิศทางใดตามสิทธิเสรีภาพในความคิดของแต่ละบุคคล!!
ส่วนความยุ่งทางการเมือง ณ ขณะนี้ ที่คอการเมืองจับตาดูว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ อาจถูกคว่ำในวาระ 3 ก็ได้??
เนื่องจากในวาระ 2 ที่ประชุมได้พิจารณาในมาตรา 9 ที่เสียงส่วนใหญ่เปลี่ยนใจเห็นขอบกับการแปรญัตติของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยสังกัดพรรคเพื่อไทยเป็นผู้แปรญัตติ ให้รัฐสภา และประชาชนเข้าชื่อเสนอให้ ครม.ให้ทำประชามติได้ ไม่ใช่เป็นอำนาจของ ครม. ฝ่ายเดียว
แต่การเมืองก็มีเรื่องแปลก ๆ ประหลาดเกิดขึ้น เมื่อดันมีเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาดที่ กรรมาธิการวิสามัญ ฯ ของ ส.ว.ท่านหนึ่งออกมารจงใจบอกให้เป็นข่าวว่า คณะกรรรมการกฤษฎกาอาจแก้ไขปรับอีก 4 มาตราเพื่อให้สอดคล้องกับมาตราที่ 9 ว่า คณะกรรมการกฤษฏีกาอาจพิจารณาไม่ทันเวลาที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 7-8 เมษายน นี้
ทำให้คณะกรรมการกฤษฎีกาถึงกับงง ก็รีบออกแถลงการณฺ์ทันทีว่าเป็นข่าวบิดเบือน เพราะทางกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จทันเรียบร้อยในวันที่ 1-2 เมษายน นี้ และจะรีบส่งรายงานการปรับปรุงให้ "นายชวน หลีกภัย" ประธ่านรัฐสภาทราบ
จากเหตุของการสื่อสารทีผิดพลาดจะจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีเสียงซุบซิบตามหลังมาว่า เหมือนเป็นการสื่อให้สาธารณะชนได้รู้ว่าอาจมี ส.ส.บางส่วนไม่เห็นด้วยที่ให้แก้มาตรา 9 และอาจไม่เห็นด้วยในวาระ 3??
ก็ว่ากันไป ตามประสาความคิดและมโนของการเมืองที่ต้องยุ่งกันเข้าไว้แหละดี!!
เพราะฉะนั้น เรา ๆ ท่าน ๆ จะต้องจับตาดูว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะผ่านฉิวไปด้วยความสะดวก หรือสะดุดหยุดกึกลง??
เนื่องจาก กฎหมายประชามติ เกี่ยวพันกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ฝ่ายการเมืองหลายฝ่ายอยากให้มี ส.ส.ร. แต่ก็ต้องทำ "ประชามติ" ก่อนตามคำตีความของศาลรัฐธรรมนูญ
ถ้า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หกคะเมนตีลังกาลงไป ก็ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับตามความประสงค์ของฝ่ายที่ต้องการต้องยืดเยื้อออกไปอีก
การเมืองเรื่องยุ่ง ๆ ที่สำคัญต่อชาติบ้านเมือง ณ เวลานี้ ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล "ลุงตู่" ซึ่งยังไม่ได้เดินหน้านับก้าวที่หนึ่งออกไปเลย เพราะมีเหตุแห่งรัฐธรรมนูญปี 60 ซึ่งเป็นฉบับเจ้าปัญหาของผู้่ที่มีปัญหา??
ขณะนี้ ยังไม่่รู้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค หรือ พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะมีการพูดคุยกันว่า จะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งแก้ไขได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการทำประชามติ หรือ ต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะตกลงกันว่าจะแก้ทีละมาตรา หรือยกร่างทั้งฉบับ ซึ่ง "ลุงตู่" ยืนยันไม่ขัดข้องจะแก้เป็นรายมาตรา หรือแก้ทั้งฉบับ หรือจะตัดทอนการสืบทอดอำนาจก็ว่าไป พร้อมทั้งพูดประโยคทองว่า "ก็ไปแก้กัน แก้ให้ได้ก็แล้วกัน"!!
เอ้า! บรรดาเครือข่ายทางการเมืองอยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว อย่าให้ "ลุงตู่" ผิดหวังนะ??
และที่สำคัญสุด ๆ ก็คือทุกฝ่ายต้องแก้ไขเร็วเสร็จให้ทันก่อนหมดเทอมของสภาผู้แทน ฯ ชุดนี้ที่จะครบกำหนออีก 2 ปี!!
เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปตามกฎกติกามารยาทของรัฐธรรมนูญใหม่!!
ถ้ามีการยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทะลุเวลาไปถึงสภาผู้แทน ฯ ชุดหน้า รับรองการเมืองมีปัญหาแน่??
ไม่ใช่เป็นการเมืองยุ่งแบบธรรมดา แต่เป็นการยุ่งเกินร้อยจนบ้านเมืองวุ่นวายได้ เชื่อเหอะท่านที่เคารพ!!
Social Links