“ดร.พิสิฐ” ระบุ ปชป. รับดูแล
ระบบบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้าเต็มที่
เพื่อให้คนไทยได้รับการดูแลในยามชรา
ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลก เพราะประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้วก็มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมากกว่าร้อยปีแล้ว ในช่วงที่เกิดปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองของประเทศอุตสาหกรรมเหล่านั้น จนกระทั่งวันดีคืนดีคนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมถูกปลดเกษียณกลายเป็นคนไม่มีรายได้ เป็นคนชราที่ยากจน เกิดปัญหาการกระจายรายได้ เกิดความเหลื่อมล้ำ เกิด New Poor ขึ้น ทั้งที่เป็นประเทศที่ร่ำรวยแล้ว ดังนั้นระบบประกันสังคม ระบบการจ่ายเบี้ยยังชีพจึงเกิดขึ้น ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตการคลังจึงได้มีการปฏิรูปเรื่องบำเหน็จบำนาญเข้ามาสู่ระบบปัจจุบัน ก็คือระบบการออมเพื่อใช้ยามชรา และจะเห็นว่าองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะพูดถึงเรื่องนี้กันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศใหม่ที่กำลังพัฒนาและต้องประสบปัญหานี้ ซึ่งเราเจอเร็วมากโดยที่เรายังไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับประเทศพัฒนาอุตสาหกรรม
ดร.พิสิฐ กล่าวว่า ปัญหาคนชราไม่มีรายได้นั้นมีการพูดกันมานาน โดยเฉพาะช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ในสมัยรัฐบาลชวน 1 ชวน 2 ได้เริ่มให้มีการจ่ายเบี้ยคนจน จาก 200 บาท เป็น 300 บาท แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 40 มีปัญหาทั้งหนี้ต่างประเทศ และการกู้เงิน IMF ก็ตาม แต่รัฐบาลสมัยนั้นก็ยังกัดฟันเพิ่มเบี้ยคนจน ต่อมาในยุคของพลเอกสุรยุทธ และนายกฯ อภิสิทธิ์ มีการปรับขึ้นเป็น 500 บาท ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ โดยเฉพาะในสมัยของนายกฯ อภิสิทธิ์นั้น ได้ปรับให้เป็นการจ่ายแบบถ้วนหน้า และรัฐบาลชุดต่อมาก็มีการปรับขึ้นอีกเป็น 600 บาท และเป็นการจ่ายแบบขั้นบันได โดยล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็มีการปรับขึ้นอีกแต่เป็นการชั่วคราว
จากการที่ส่วนตัวได้ทำการศึกษาพบว่า การแก้ปัญหาการกระจายรายได้ หรือการแก้ปัญหาความยากจนที่ได้ผลที่สุด ก็คือการยกระดับคนชราให้มีรายได้ขึ้นมาให้พ้นจากความยากจน ซึ่งจะเป็นการแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้ดีที่สุด สำหรับในอนาคตประเทศไทยนั้น ตามที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไว้ ตนก็เห็นด้วยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมวัยชราอย่างรวดเร็ว ไม่สอดคล้องกับกำลังทางเศรษฐกิจ เรายังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีรายได้เกินกว่า 15,000 เหรียญต่อคนต่อปี แต่เรายังทำได้เพียงครึ่งเดียว และมีคนที่อยู่ในวัยชรา จำนวนกว่า 10% และจะเป็น 20% ในเวลาอันรวดเร็วและจะเป็น 30% ทำให้เราต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อดูแลคนชราเหล่านี้
ต่อคำถามที่ว่า กำลังทางเศรษฐกิจของเราจะรับไหวหรือไม่นั้น ดร.พิสิฐ กล่าวว่า หากทำที่เป็นทำอย่างที่เป็นอยู่ เราจะประสบวิกฤตทางด้านการคลัง วิกฤติทางด้านเงินออมเกิดขึ้น แต่ก็เห็นด้วยที่เราจะต้องดูแลคนชราเพื่อจะได้แก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และตนก็เห็นด้วย 100% ว่าเราต้องเป็นสังคมที่เอื้ออาทรให้คนชราได้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีเงินใช้ตามอัตภาพ
ดังนั้นการที่ต้องมีการปรับรายได้ของรัฐต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจะต้องพิจารณา แต่สิ่งสำคัญที่จะให้ระบบของเรายั่งยืนและอยู่ได้ ก็จะต้องมีการปฏิรูประบบการคลัง ในเรื่องของรายจ่าย โดยจะต้องมาดูกันใหม่ในเรื่องรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ที่ ซ้ำซ้อน เราจะมีความสามารถในการตัดทอนได้หรือไม่ เรื่องของภาษี เรื่องรายได้หลายๆ ตัว ตนก็คิดว่ามีโอกาสที่จะปรับปรุงได้ รวมไปถึงเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารทรัพย์สิน และการบริหารรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และจัดให้มีการออมเพื่อใช้ยามชราอย่างทั่วถึง เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการที่จะให้ระบบบำเหน็จบำนาญแห่งชาติได้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน มิฉะนั้นเราจะล้มลุกคลุกคลานเหมือนประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะเกิน เพราะรายจ่ายต่างๆ สูงเกินขีดความสามารถ อย่างหลายประเทศ อาทิ ศรีลังกา ปากีสถาน และยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังประสบปัญหาการชำระหนี้ต่างประเทศ และการชำระหนี้ของรัฐ
การที่จะให้ระบบบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้าเกิดขึ้น เราจะต้องมุ่งหน้าที่จะต้องดูแลเรื่องการปฏิรูประบบการคลัง ให้มีความแข็งแกร่งมีรายได้ มีเงินที่จะมาดูแลได้อย่างทั่วถึง ณ เวลานี้ จากสิ่งที่ตนได้เคยอภิปรายก็พบว่าเรามีช่องโหว่มากมายในระบบ ที่จะต้องมีการดูแลต่อไป
ทั้งนี้ ดร.พิสิฐ ได้ทิ้งท้ายให้กำลังใจกับทุกท่าน รวมถึงภาคประชาชนด้วยว่า สิ่งที่ได้นำเสนอมานี้ พรรคประชาธิปัตย์จะดูแลให้เต็มที่ต่อไป เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับการดูแลในยามชรา
Social Links