ธุรกิจแบงก์ไทย แม้รายได้หลักขยายตัว แต่ยังต้องระวัง“หนี้เสีย”

ธุรกิจแบงก์ไทย แม้รายได้หลักขยายตัว แต่ยังต้องระวัง“หนี้เสีย”

ธุรกิจแบงก์ไทย แม้รายได้หลักขยายตัว

แต่ยังต้องระวัง“หนี้เสีย”

……………………………………………….

  • สถานการณ์สินเชื่อไตรมาส 1/2566 ของระบบแบงก์ไทยอาจเติบโตในกรอบที่ชะลอลงมาที่ 1.9-2.3% เนื่องจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อ อย่างไรก็ดี คาดว่า ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อยังคงขยับสูงขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2566 จะส่งผลหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ให้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่กรอบประมาณ 3.05-3.17%
  • อย่างไรก็ดี เรื่องคุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อาจเพิ่มแรงกดดันต่อลูกหนี้บางกลุ่ม ซึ่งทำให้คาดว่า สัดส่วน NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ จะทรงตัวอยู่ที่กรอบ 2.70-2.75% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2566 แม้ทิศทางเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว
  • ดังนั้นแม้ระดับสำรองฯ อาจชะลอลงบ้างในไตรมาส 1/2566 จากที่สำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปลายปี 2565 แต่ก็จะไม่ลดลงเร็วมากนัก และแบงก์ก็จะยังต้องเร่งจัดการปัญหาคุณภาพของสินเชื่อ ผ่านแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ควบคู่กับการตัดขาย เพื่อประคองระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาพรวม

…………………………………………………….

ผลจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อยังคงกดดันโมเมนตัมการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาส 1/2566 ทั้งนี้ แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศของไทยจะประคองสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่สถานการณ์สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย) ยังคงมีภาพที่แตกต่าง เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อทั้งในส่วนของสินเชื่อภาครัฐและภาคเอกชน โดยในไตรมาสแรก น่าจะมีการทยอยกลับมาจ่ายคืนหนี้ของกลุ่มลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน ประกอบกับภาพจากตลาดหุ้นกู้สะท้อนว่า ภาคธุรกิจมีการออกหุ้นกู้มากขึ้น เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินและนำเงินมาชำระคืนสินเชื่อในช่วงจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับตัวขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากแรงกดดันของการชำระคืนสินเชื่อและฐานเปรียบเทียบที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กรอบการเติบโตของสินเชื่อระบบแบงก์ไทยอาจชะลอลงมาที่ 1.9-2.3% YoY ในไตรมาส 1/2566 (ค่ากลาง 2.0% YoY) จาก 2.7% YoY ในไตรมาส 4/2565

แม้สินเชื่อจะเติบโตในกรอบชะลอลง แต่ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อยังคงขยับสูงขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในไตรมาส 1/2566 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รวมทั้งสิ้น 2 ครั้ง คือ 1) รอบต้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR/MOR/MRR ประเภทละ 0.40% ตามการปรับอัตราเงินนำส่งเข้า FIDF  กลับไปสู่ระดับปกติ และ 2) รอบตามหลังการประชุมกนง. วันที่ 25 ม.ค. 2566 โดยธนาคารส่วนใหญ่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR/MOR/MRR ประมาณ 0.20% 0.15% และ 0.10% ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ขยับขึ้น 0.25% ต่อปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 1/2566 จะส่งผลหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ให้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่กรอบประมาณ 3.05-3.17% จากระดับประมาณ 3.03% ในไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากประเมินว่า สินเชื่อคงค้างประมาณ 67.5% ของพอร์ตสินเชื่อระบบแบงก์ไทยจะเข้าสู่ช่วงการปรับดอกเบี้ยในระหว่างไตรมาสที่ 1/2566 ขณะที่ในฝั่งเงินฝากนั้น ในช่วงไตรมาส 1/2566 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (CASA) ซึ่งมีสัดส่วนราว 73.0% ของพอร์ตเงินฝากรวมในระบบแบงก์ไทย โดยมีการปรับขึ้นเฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนขึ้นไปและเงินฝากแคมเปญพิเศษเท่านั้น นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังประเมินว่า NIM ยังมีโอกาสขยับขึ้นไปอยู่สูงกว่าระดับ 3.20% ในไตรมาส 2/2566 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อตามรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง. 29 มี.ค. 2566 (ซึ่งล่าสุด ณ 10 เม.ย. 2566 มีแบงก์ไทยเพียง 2 แห่งที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว) และน่าจะมีรอบการปรับดอกเบี้ยแบงก์อีกครั้งหลังรอบการประชุม กนง. 31 พ.ค. 2566

แม้รายได้จากธุรกิจหลักจะทยอยมีสัญญาณฟื้นตัว แต่แบงก์ยังคงต้องเฝ้าระวังปัญหาการไถลลงของคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มแรงกดดันต่อลูกหนี้บางกลุ่ม อาทิ ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก รวมไปถึงลูกหนี้ที่เพิ่งออกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน

คงต้องยอมรับว่า สถานการณ์รายได้และกระแสรายรับของลูกหนี้ที่ยังอยู่ในช่วงแรกเริ่มของการฟื้นตัวและยังไม่กลับสู่ระดับปกติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการรองรับแรงกดดันจากการขยับสูงขึ้นของภาระต้นทุนทางการเงินของลูกหนี้กลุ่มนี้มีค่อนข้างจำกัด และทำให้สถาบันการเงินยังคงติดตามสถานการณ์ของลูกหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อการไถลลงของคุณภาพสินเชื่อในพอร์ต พร้อมกับต้องเร่งจัดการปัญหาคุณภาพของสินเชื่อผ่านแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ควบคู่กับการตัดขาย เพื่อประคองระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาพรวม

ดังนั้น แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วน NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมแบงก์ไทย 17 แห่งและสาขาธนาคารต่างชาติ 11 แห่ง) จะยังคงทรงตัวอยู่ที่กรอบ 2.70-2.75% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2566 ใกล้เคียงกับ 2.73% ในไตรมาส 4/2565 ซึ่งก็จะส่งผลทำให้แม้ระดับสำรองฯ อาจชะลอลงบ้างจากที่สำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปลายปี 2565 แต่ก็จะไม่ลดลงเร็วมากนัก โดยคาดว่า สัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อหรือ Credit Cost อาจจะขยับลงมาได้บ้าง มาอยู่ที่กรอบ 1.17-1.25% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากที่ขยับขึ้นไปแตะ 1.46% ในไตรมาส 4/2565 จากผลของการเร่งสำรองฯ ของธนาคารพาณิชย์บางแห่งเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

โดยสรุป ศูนย์วิจจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 1/2566 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 5.45-5.70 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) อาจขยับขึ้นไปที่กรอบ 1.00-1.05% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระดับ ROA ที่ 0.89% ในไตรมาส 4/2565 แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ ROA ที่ประมาณ 1.20% ในช่วง 5 ปีก่อนวิกฤตโควิด 19 ซึ่งก็สะท้อนว่า ภาพรวมของธุรกิจแบงก์ในช่วงต้นปี 2566 ยังเป็นการฟื้นตัวแบบระมัดระวัง เพราะแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะทยอยมีภาพที่ดีขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ (รายได้ดอกเบี้ยมีแรงหนุนจากการขยับสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่ รายได้ค่าธรรมเนียมฯ บางส่วน อาทิ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตและบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการทยอยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ) แต่ความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจซึ่งยังคงฟื้นตัวบนความเสี่ยงหลายด้าน อาจทำให้สถาบันการเงินยังคงต้องตั้งสำรองฯ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง ดังนั้น แม้ระดับสำรองฯ อาจทยอยปรับลงมาได้บ้างจากที่สำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปลายปี 2565 แต่ก็จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก และสถาบันการเงินยังคงต้องดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และ/หรือกลุ่มที่ทยอยออกจากมาตรการช่วยเหลือ ควบคู่กับการเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้สำหรับในระยะข้างหน้า คงต้องติดตามแนวทางการเข้ามาดูแลโครงสร้างค่าธรรมเนียมของทางการเพื่อดูแลและสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากและทำให้แบงก์คงต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรับมือกับแนวโน้มที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอาจมีกรอบการเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดในอนาคต

You may also like

“เฉลิมชัย-ประชาธิปัตย์“ห่วงปัญหาเหลื่อมล้ำ จัดเวทีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเดโมแครต ฟอรั่ม” ขจัดการผูกขาด: ลดเหลื่อมล้ำแก้จน”

“เ