“วิคเตอร์ บูท” กับชัยชนะขั้นแรกของรัสเซีย
ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค
คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกจับตามอง นั่นคือการแลกตัวนักโทษระหว่าง “บริตนีย์ ไกรเนอร์” (Brittney Griner) นักบาสเกตบอลหญิงทีมฟีนิกซ์ เมอร์คิวรี (WNBA) ชาวอเมริกัน ที่ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติเชเรเมดเยวา «Шереметьево» กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย หลังจากถูกตรวจพบว่า ภายในกระเป๋าเดินทางของเธอมีเครื่องสูบบุหรี่ที่มีน้ำมันกัญชา อันเป็นสารต้องห้ามผิดกฎหมายในรัสเซียเมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2022 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2022 เธอถูกพิพากษาให้จองจำในทัณฑนิคมแห่งหนึ่งเป็นเวลา 9 ปี ตามข้อกล่าวหาครอบครองและลักลอบขนยาเสพติด กับ “วิคเตอร์ บูท” «Виктор Анатольевич Бут» พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ที่ถูกจำคุกอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งรับโทษจำคุกในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยนายวิคเตอร์ บูท ถูกตัดสินว่ามีความผิดหลายกระทง รวมถึง “การสมรู้ร่วมคิดเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรก่อการร้าย” การฟอกเงิน และการฉ้อโกง”
โดยรัสเซียและสหรัฐอเมริกาได้ทำการแลกเปลี่ยนนักโทษที่สนามบินอาบูดาบีประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาตำหนิการแลกตัวดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่โง่เง่าและทำให้สหรัฐฯ ได้รับความอับอาย จนหลายคนต้องหันมาให้ความสนใจว่า “นายวิคเตอร์ บูท” คือใคร มีความสำคัญอย่างไร ซึ่งวันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวของนายวิคเตอร์ บูทให้ฟัง
นายวิคเตอร์ บูท เกิดที่เมืองดูชานเบ (Dushanbe) ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศทาจิกิสถาน) ในปี ค.ศ. 1967 หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนการทหารคาซาน ซูโวรอฟ «Казанское суворовское военное училище (КзСВУ)» เขาได้เข้ารับราชการทหารในเขตทหาร “Transcarpathian” และเมื่ออายุ 20 ปีเขาเข้าเรียนต่อที่สถาบันภาษาต่างประเทศทหารในกรุงมอสโก «Военный институт иностранных языков в Москве» และสำเร็จการศึกษาด้วยยศร้อยตรี หลังจบการศึกษานายวิคเตอร์ บูท ได้ไปทำงานเป็นล่ามให้กับองค์การสหประชาชาติในประเทศโมซัมบิกและแองโกลา ซึ่งทั้งสองประเทศใช้ภาษาโปรตุเกส
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 นายวิคเตอร์ บูทเข้าได้เริ่มทำธุรกิจให้เช่าเครื่องบิน ที่บินจากยุโรปและเอเชียไปยังแอฟริกา ตามรายงานของสื่อ ค่าเช่าเครื่องบินในยุโรปต่ำกว่าในแอฟริกาอย่างมาก ทำให้นักธุรกิจได้รับส่วนต่างตรงนี้ นอกจากนี้นายวิคเตอร์ บูทยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าของบริษัท “ทรานซาเวีย” «Трансавиа» ที่จดทะเบียนในเมืองคาซาน «Казан» ประเทศรัสเซียและบริษัท “IRBIS” ที่จดทะเบียนในเมืองอัลมา-อัลตา «Алма-Атеа»ประเทศคาซัคสถาน ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ
นอกเหนือจากเที่ยวบินพลเรือนที่ไม่เป็นอันตรายซึ่งคอยจัดส่งดอกทิวลิปและเครื่องใช้ในครัวเรือนแล้ว ธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศของนายวิคเตอร์ บูทยังให้การบรรทุกสินค้าทางทหารที่ถูกกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การขนย้ายหน่วยทหารของฝรั่งเศสไปยังแองโกลา สื่อฯ ยังรายงานอีกว่าเครื่องบินลำเดียวกันได้ทำการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไปยังโซมาเลียและติมอร์ตะวันออก และยังส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังศรีลังกาซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นยักษ์สึนามิในปี ค.ศ. 2004
นอกจากนี้นายวิคเตอร์ บูทยังประสบความสำเร็จในการเช่าพื้นที่สนามบินในเมืองชาร์จาห์ (Sharjah) ของสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญในตะวันออกกลาง ธุรกิจของนายวิคเตอร์ บูทเติบโตขึ้นอย่างมากจนเป็นอันดับสองในเมืองชาร์จาห์ รองจากสายการบิน Lufthansa และยังได้รับรางวัลอีกด้วย นอกจากนี้อดีตนักแปลรายนี้ยังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ใกล้สนามบิน Belgian Ostend ในทะเลเหนือ ซึ่งเป็นเขตที่เครื่องบินของเขาบินผ่าน
ชื่อของนายวิคเตอร์ บูทนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือลูกเรือของเครื่องบิน Il-76 ซึ่งถูกกลุ่มตอลิบานจับตัวในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1995 โดยมีรายงานว่าเขามีส่วนร่วมในการเจรจากับผู้นำกลุ่มตอลิบานเป็นการส่วนตัวในเมืองชาร์จาห์ โดยนักบินสามารถหลบหนีจากการถูกจองจำได้ในปี ค.ศ. 1996 หนึ่งปีหลังจากถูกจับกุม ต่อมาในปี ค.ศ.1997 นายวิคเตอร์ บูทได้จดทะเบียนสายการบินในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ซึ่งตามข้อมูลอย่างเป็นทางการสายการบินของเขาได้ขนส่งไก่แช่แข็งจากยุโรป หนึ่งปีต่อมาทางการแอฟริกาใต้ได้เพิกถอนใบอนุญาตเดินทางทางอากาศของเขา และตัวเขาเองในภายหลังระบุว่าเรื่องนี้เป็นเพราะแรงกดดันของสหรัฐฯ
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ชื่อนายวิคเตอร์ บูทเริ่มปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์ตะวันตกเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการค้าอาวุธ จนเขาถูกเรียกตัวว่าเป็นตัวแทนของหน่วย KGB ซึ่งใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย โดยในปี ค.ศ. 1999 หนังสือพิมพ์ The Guardian ตีพิมพ์บทความว่าสายการบินของ นายวิคเตอร์ บูทกำลังขนส่งอาวุธจากบราติสลาวาเมืองหลวงของประเทศสโลวาเกียไปยังเมืองคาทูม (Khartoum) เมืองหลวงของซูดาน และในปี ค.ศ. 2000 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การส่งอาวุธไปยังแองโกล ในภาวะสงครามกลางเมือง โดยรายงานระบุว่าแม้นานาชาติจะคว่ำบาตรประเทศนี้แต่กลุ่มกบฏกลับได้รับอาวุธจากบัลแกเรียและโรมาเนีย โดยมีนายวิคเตอร์ บูทเป็นผู้รับผิดชอบด้านการขนส่งเสบียง ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ทางการเบลเยียมกล่าวหาว่านายวิคเตอร์ บูทลักลอบค้าเพชรและฟอกเงิน ทำให้เขาอยู่ในรายชื่อที่เป็นต้องการตัวขององ์การระหว่างประเทศ และในปี ค.ศ. 2004 องค์การสหประชาชาติและสหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้ระงับบัญชีของบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขา มาถึงตอนนี้ ธุรกิจของนายวิคเตอร์ บูทในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้และในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ปิดตัวลงและเขาแทบจะไม่ได้เดินทางออกจากประเทศรัสเซียเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี ค.ศ. 2008 นายวิคเตอร์ บูทบินไปกรุงเทพฯ และถูกจับกุมในวันเดียวกันนั้น โดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ได้ล่อลวงนายวิคเตอร์ บูทให้มาประเทศไทยโดยอ้างว่าเป็นข้อตกลงเพื่อขายขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศอย่างผิดกฎหมายให้กับกลุ่มติดอาวุธ FARC ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายโคลอมเบีย
นายวิคเตอร์ บูท ต้องติดคุกอยู่ในไทยเป็นระยะเวลาสองปี โดยทางการไทยปฏิเสธที่จะส่งตัวเขาไปยังสหรัฐอเมริกา อาจเป็นเพราะพวกเขามองว่าข้อกล่าวหาของหน่วยข่าวกรองอเมริกันไม่มีมูล เพราะในประเทศไทย กลุ่มติดอาวุธ FARC ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยากในความสัมพันธ์กับรัสเซียซึ่งพยายามกดดันให้มีการปล่อยตัวบูท
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2010 สหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อหาใหม่กับเขา โดยครั้งนี้เขากล่าวหาว่ามีความผิดฐานละเมิดคำสั่งห้ามค้าอาวุธต่อกลุ่มกบฏในแอฟริกา และเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2010 คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติตามคำร้องของสหรัฐฯ ในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน วันต่อมาเขาได้ถูกส่งพิจารณาคดีในศาลของเขตทางตอนใต้ของแมนฮัตตัน เขาถูกตั้งข้อหาว่า “สมรู้ร่วมคิดในการสังหารพลเมืองสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือด้านวัตถุแก่ผู้ก่อการร้าย ค้าอาวุธผิดกฎหมาย และช่วยเหลือกลุ่มติดอาวุธผิดกฎหมาย” สิ่งพิมพ์ต่างประเทศเริ่มให้สมญานามและเรียกเขาว่าเป็น “พ่อค้าแห่งความตาย” «торговцем смертью» ศาลอเมริกันได้ตัดสินจำคุกเขาเป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี ค.ศ. 2012 โดย นายวิคเตอร์ บูท ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหา “สมรู้ร่วมคิดในการสังหารพลเมืองอเมริกัน พยายามขายขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน และสนับสนุนการก่อการร้ายผ่านความร่วมมือกับกลุ่ม FARC ของโคลอมเบีย” แต่บูธไม่ยอมรับสารภาพ
ตั้งแต่วันแรกที่นายวิคเตอร์ บูท ถูกจับกุม ทางการรัสเซียได้แถลงอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของเขา โดยในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2008 สภาดูมาแห่งรัฐออกมาแถลงเพื่อปกป้องนายวิคเตอร์ บูทพลเมืองชาวรัสเซียโดยกล่าวว่าในกรณีของนายวิคเตอร์ บูทนั้น “มีแรงจูงใจทางการเมือง และมีความพยายามที่จะโยงหัวข้อนี้เข้ากับการต่อสู้กับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ และทำให้ผลประโยชน์และชื่อเสียงของรัสเซียเสียหาย
”นายวลาดิเมียร์ ซิรินอฟสกี « Владимир Жириновский» รองประธานสภาดูมา ออกมาโต้แย้งว่าการจับกุมของนายวิคเตอร์ บูท นั้นเป็นเรื่องทางการเมือง และนักการเมืองอเมริกันกำลังกดดันศาลไทย ในทางกลับกัน ทนายความของนายวิคเตอร์ บูท ได้ทำการประท้วงต่อหน่วยงานตุลาการของไทยว่าการกระทำของสายลับอเมริกันละเมิดกฎหมายของราชอาณาจักรไทย เนื่องจากพวกเขาติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ในห้องของโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุมัติจากทางการไทย
อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับความพยายามในการแลกเปลี่ยนตัวนายวิคเตอร์ บูท หลายครั้ง ครั้งแรกปรากฏในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2011 โดยสื่อฯให้ข่าวว่าจะแลกเปลี่ยนตัวนายวิคเตอร์ บูท กับพันเอกอังเดรย์ ครึยเชฟ «Андрей Хлычев» อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมและพนักงานของหน่วยงานนิวเคลียร์ Rosatom ของรัสเซีย ถูกศาลมอสโกตัดสินจำคุก 18 ปีฐานเป็นสายลับให้สหรัฐฯ แต่ทางการรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธ ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2016 สำนักข่าว Interfax ซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ได้รายงานเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนตัวที่เป็นไปได้ระหว่างนายวิคเตอร์ บูท และนายคอนสแตนติน ยาโรเชนโก «Константин Владимирович Ярошенко» ของทางรัสเซียกับนางสาวนาเดชดา ซาฟเชนโก «Надежда Викторовна Савченко» นักบินสาวชาวยูเครน ซึ่งถูกศาลรัสเซียตัดสินจำคุก 22 ปี จากข้อกล่าวหาการมีส่วนในการสังหารนักข่าวชาวรัสเซียในภูมิภาคลูฮันส์ อย่างไรก็ตามสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2016 นางสาวนาเดชดา ซาฟเชนโก ถูกแลกเปลี่ยนตัวกับชาวรัสเซียสองคน ได้แก่นายเยฟเกนี เอโรเฟเยฟและนายอเลกซานเดอร์ อเลกซานดอฟ «Евгений Ерофеев» и «Александр Александров» อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ГРУ ของรัสเซีย
ต่อมาในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและรัสเซียได้ทำการแลกเปลี่ยนนักโทษอีกครั้งโดยครั้งนี้เป็นการแลกตัวกันระหว่างนายคอนสแตนติน ยาโรเชนโก «Константин Ярошенко» อดีตนักบินชาวรัสเซียกับนายเทรเวอร์ รีด (Trevor Reed) อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ
ต่อมาในช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ. 2022 ท่ามกลางวิกฤติรัสเซีย – ยูเครน หลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียนายเซอร์เกร์ ลาฟรอฟ (Sergei Lavrov) และนายแอนโทนี บริงเคน (Anthony Blinken) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับการส่งออกธัญพืชจากยูเครน มีรายงานข่าวออกมาว่าทางสหรัฐฯ มีความตั้งใจที่จะเจรจาขอแลกเปลี่ยนนายพอล วีแลน (Paul Whelan) อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ และนางสาวบริตนีย์ ไกรเนอร์ (Brittney Griner) กับ นายวิคเตอร์ บูท โดยฝ่ายอเมริกันยืนยันที่จะแลกเปลี่ยน “สองต่อหนึ่ง” แต่สุดท้ายก็ต้องออกมายอมรับเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซียโดยไม่ทราบสาเหตุ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวนักโทษของรัสเซียที่มีเหนือสหรัฐฯ
วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาซึ่งเป็นผลมาจากสงครามทำให้นายวิคเตอร์ บูท ในสายตาของชาวรัสเซียคือวีรบุรุษผู้เสียสละเพื่อประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทางการรัสเซียในการช่วยเหลือชาวรัสเซียที่ใช้เวลา 10 ปีในคุกของสหรัฐฯ เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการแสดงความคิดเห็นจากทั้ง นางตาเตียนา มอสคาลโควา«Татьяна Николаевна Москалькова » ผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อสิทธิมนุษยชนของรัสเซียและนางมาเรีย ซาคาโรวา «Мария Владимировна Захарова» โฆษกหญิงของกระทรวงกระทรวงต่างประเทศรัสเซียว่า “ผู้คนจากรัสเซียและจากต่างประเทศได้เขียนจดหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแสดงความชื่นชมยินดีกับการปล่อยตัวนายวิคเตอร์ บูท ซึ่งพวกเขาไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว ไม่เคยเห็นเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็รักและห่วงคนรัสเซียเหมือนกัน!
อย่างไรก็ตามยังคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าหลังจากนี้นายวิคเตอร์ บูท จะรับตำแหน่งรองประธานในคณะกรรมมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของสภาดูมาหรือไม่ บางทีทางการรัสเซียอาจมอบหมายตำแหน่งสำคัญอื่นใดให้กับนายวิคเตอร์ บูท อดีตนักโทษของเรือนจำ Marion County ในรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ ที่จะเป็นการทำร้ายสหรัฐฯ ในอนาคตหรือไม่
เราคงต้องคอยติดตามต่อไป!!
Social Links