เศรษฐกิจไทยหดตัวต่ำคาด
มาตรการเยียวยายังจำเป็น!
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2564 หดตัวที่ -2.6% YoY น้อยกว่าตลาดคาดที่ -3.3% โดยถูกขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ยังคงส่งผลกระทบต่อการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก ในภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 หดตัว 2.6% YoY แต่ขยายตัว 0.2% QoQ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกสินค้าในไตรมาส 1/2564 ขยายตัวที่ 3.2% YoY (ขยายตัวที่ 5.3% YoY ในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ)
นอกจากนี้ การลงทุนขยายตัวอย่างมาก โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัวถึง 19.6% YoY เนื่องจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 1/2563 ประกอบกับมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาส 1/2564 ขณะที่ การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.0% YoY สอดคล้องกับภาคการผลิตที่ฟื้นตัวได้ดีตามการส่งออก อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนพลิกกลับมาหดตัวในไตรมาส 1/2564 หลังจากขยายตัวในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากครัวเรือนมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ และการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่เข้ามาช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของครัวเรือน เช่น โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง โครงการ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น ขณะที่ การส่งออกภาคบริการยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงซบเซา
เนื่องจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ 1.8% โดยมองว่าความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางอัตราการฉีดวัคซีนของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมิน อีกทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในไทยต่ำกว่าคาด แม้ว่าจะมีการทยอยเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว โดยในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจอยู่ในกรอบ 0.25-1.20 ล้านคน อย่างไรก็ดี ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ได้รวมปัจจัยบวกจากแนวโน้มการส่งออกที่จะเติบโตดีจากอานิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังได้รวมปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินการอยู่และคาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมภายใต้งบกลางของ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 และวงเงินกู้ 1 ล้านล้าน อาทิ การขยายสิทธิโครงการเราชนะและโครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โครงการลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางเงินเฟ้อของไทยมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะ Stagflation กล่าวคือรายได้ลด แต่ค่าครองชีพกลับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้มาตรการภาครัฐยังคงมีความจำเป็นที่จะบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้เงินเฟ้อไทยมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเม.ย. 2564 ของไทยอยู่ที่ 3.4% YoY ซึ่งถูกขับเคลื่อนจากดัชนีราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 36.4% YoY เป็นหลัก ทั้งนี้ ทิศทางเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลให้ค่าครองชีพของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้การจ้างงานและรายได้ครัวเรือนไทยไม่เติบโตสอดคล้องไปกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น และก่อให้เกิดภาวะ Stagflation ดังนั้น ภาครัฐอาจมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ทั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐได้มีการกู้เงินเต็มวงเงินที่เหลือของ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ภาครัฐอาจจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มและขยายเพดานหนี้สาธารณะสูงกว่า 60% ขณะที่นโยบายการเงินอาจมีความสามารถจำกัดในช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางระดับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
Social Links