“เอสซีจี เซรามิกส์”แจงไตรมาส 1 ปี 65 ขายเพิ่ม-กำไรเพิ่ม จับตาราคาพลังงานพุ่งไม่หยุด เตรียมแผนรับมือ ลดผลกระทบ

“เอสซีจี เซรามิกส์”แจงไตรมาส 1 ปี 65 ขายเพิ่ม-กำไรเพิ่ม จับตาราคาพลังงานพุ่งไม่หยุด เตรียมแผนรับมือ ลดผลกระทบ

“เอสซีจี เซรามิกส์”แจงไตรมาส 1 ปี 65 ขายเพิ่ม-กำไรเพิ่ม

จับตาราคาพลังงานพุ่งไม่หยุด เตรียมแผนรับมือลดผลกระทบ

            ผลประกอบการไตรมาส 1/2565 เอสซีจี เซรามิกส์ รายได้จากการขาย 3,231  ล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาวบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน ต่อยอดพัฒนาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสร้างมูลค่าเพิ่ม

                นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการขายกระเบื้องเซรามิกทั้งในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น  โดยบริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด 212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติและราคาวัตถุดิบที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

                “แม้ว่าการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจมากเท่าระลอกที่ผ่านมา แต่ยังคงมีปัจจัยสำคัญในช่วงต่อจากนี้ คือ ความยืดเยื้อของความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การส่งออกสินค้า รวมทั้งการนำเข้าวัตถุดิบซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2-3 ชะลอตัวลงด้วย

                อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาพลังงานและการนำเข้าวัตถุดิบบางรายการ แต่บริษัทฯ เตรียมแผนรับมือและได้ดำเนินการมาโดยตลอดเพื่อบรรเทาผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงการลดต้นทุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในเรื่องการปรับระดับการผลิตและการนำเข้าวัตถุดิบให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณความต้องการ การดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่องส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพและรักษาความสามารถในการแข่งขันได้”  นายนำพล กล่าว

                นายนำพล เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรับมือกับสถานการณ์ด้านพลังงานในอนาคต โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาวตามแนวทาง ESG 4 Plus ของ เอสซีจี โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกให้มากขึ้น นอกจากจะช่วยบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานแล้วยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงเป็นการต่อยอดในการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่า เพิ่มให้กับสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าโดยนำปัจจัย “สินค้ารักษ์โลก” มาเป็นหนึ่งในเกณฑ์พิจารณานอกเหนือจากปัจจัยด้านคุณภาพ ราคา ความคุ้มค่า ความคุ้นเคย ฯ

                “ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีสินค้าภายใต้แบรนด์ COTTO หลายประเภทที่ได้รับฉลาก เอสซีจี กรีนชอยส์ (SCG Green Choices) ทั้งในด้านประหยัดพลังงานจากกระบวนการผลิตที่นำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้านประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน ยืดอายุการใช้งานของสินค้าให้นานขึ้น หรือมีส่วนประกอบของวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ และด้านส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีต่อผู้บริโภค โดยสินค้าที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานของ SCG Green Choices ได้แก่ กระเบื้องปูพื้นและกระเบื้องบุผนัง จากกระบวนการผลิตที่ลดการใช้น้ำลง 40% และปราศจากสารอินทรีย์ระเหย (VOC) กระเบื้องเกรซพอสเลน จากกระบวนการผลิตที่ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลงได้อย่างน้อย 25% และปราศจากสารอินทรีย์ระเหย (VOC)  และกระเบื้องโมเสก จากกระบวนการผลิตที่ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลงได้อย่างน้อย 25%

                ล่าสุด ในงานสถาปนิก’65 ที่จัดขึ้นในวันที่ 26 เม.ย.- 1 พ.ค.นี้  COTTO จะจัดแสดงสินค้าไฮไลต์ คือ กระเบื้องฟอกอากาศ AIR ION กระเบื้องเพื่อสุขอนามัยที่มีคุณสมบัติพิเศษในการดักจับฝุ่น PM2.5กระเบื้องยับยั้งแบคทีเรีย  หรือ HYGIENIC TILE เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และเป็นครั้งแรกที่จะทำการเปิดตัว กระเบื้อง ECO Collection  ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลง 80% จากการนำ Waste ในกระบวนการการผลิตกลับมาใช้ใหม่ตามแนวทาง Zero Waste ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งลงถึง 75% ด้วย

                การพัฒนาสินค้าต่าง  ๆ  ในกลุ่มนี้ เป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดการใช้พลังงาน สร้างมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำเทรนด์นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแบรนด์ COTTO ด้วย” นายนำพล กล่าว

 

You may also like

เปิดตัวดัชนีชี้วัดความปลอดภัยของเด็ก บนโลกออนไลน์ทั้งในระดับชาติและระดับโลก

เปิดตัวด